ไม่รอด! KCG ปิดเทรดวันแรก 8.30 บาท ต่ำจอง 2.35%
KCG ปิดเทรดวันแรก 8.30 บาท ลดลง 2.35% จากราคาไอพีโอ 8.50 บาท เป็นไปตามภาวะตลาดวันนี้ เดินหน้าแผนลงทุนยกระดับเทคโนโลยี และขยายกำลังการผลิต ตั้งเป้ารายได้ปี 66 โตไม่ต่ำกว่า 10% รับไฮซีซั่นครึ่งปีหลัง ลุยขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันนี้ (3 ส.ค.) เป็นวันแรก ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
โดยเปิดซื้อขายที่ราคา 8.55 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 0.59% จากราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 8.50 บาท ระหว่างวันปรับตัวขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 8.90 บาท ปรับตัวต่ำสุดที่ 7.90 บาท และปิดซื้อขายที่ราคา 8.30 บาท ปรับลดลง 0.20 บาท หรือคิดเป็นลดลง 2.35% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,476.35 ล้านบาท
นายวาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทที่วางรากฐานอย่างแข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน จะช่วยสนับสนุนให้ KCG เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน
โดยบริษัทมีเป้าหมายเพื่อก้าวสู่ผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนขยายการลงทุนในปี 2566-2567 โดยมุ่งลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตชีส (Individually Wrapped Processed Cheese Slices) จากเดิม 2,106 ตันต่อปี เพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปี ภายในปี 2566 และจะขยายกำลังการผลิตเนยที่โรงงานเทพารักษ์ จากในปัจจุบัน 18,596 ตันต่อปี เพิ่มเป็น 23,261 ตันต่อปี ภายในปี 2567 รวมถึงลงทุนเครื่องจักรใหม่และปรับพื้นที่สร้างห้องปลอดเชื้อที่โรงงานบางพลี
นอกจากนี้ บริษัทจะลงทุนก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า (KCG Logistics Park) โดยเป็นศูนย์กระจายสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและครบวงจร อีกทั้งยังเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าได้อย่างทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
โดยแบ่งตามชนิดผลิตภัณฑ์ (Product Layout) เทียบเท่ามาตรฐาน GMP C และ GMP D ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรป รวมทั้งวางแผนการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ (Automation) มาพัฒนาโรงงานสู่การผลิตระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปี 2567
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 6,232.7 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งมีเทศกาลค่อนข้างมาก ประกอบกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ตอบโจทย์ลูกค้า และปัจจัยภายนอกปรับตัวดีขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ขยายไปกว่า 17 ประเทศ และมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 4-5% โดยบริษัทจะเพิ่มยอดขายในประเทศที่มีจำนวนประชากรค่อนข้างสูงอย่าง อินโดนีเซีย อินเดีย และจีน
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ราคาหุ้น KCG เป็นไปตามภาวะตลาดในวันนี้
อย่างไรก็ตาม KCG เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก เป็นผู้นำการสร้างสรรค์สินค้าสู่ตลาด (Trend Setter) ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ทั้งในกลุ่มเนยและชีส ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่
อีกทั้งยังเป็นอาหารทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ใส่ใจสุขภาพและสอดรับการขยายตัวของร้านอาหารตะวันตก โดยเฉพาะร้านเบเกอรี่และคาเฟ่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทยังมีฐานการผลิตอันแข็งแกร่ง และแผนการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต และนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ (Automation) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น จึงเชื่อว่าด้วยการวางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง จะช่วยผลักดันให้ KCG สร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต


