เบิกเนตร! 6 หุ้นค้าปลีก Q2/66 ตัวไหน รุ่ง-ร่วง ?
ส่องงบ 6 หุ้นค้าปลีก-ค้าส่ง ไตรมาส 2/66 ตัวไหน รุ่ง-ร่วง ? หลังเข้ารอบโลว์ซีซัน-ไร้ช้อปดีมีคืนหนุน-ขึ้นค่าแรงกดดัน โบรกคัดให้ "CRC"แกร่งสุด ยอดขายสาขาเดิมหนุน บวกครึ่งปีหลังเข้ารอบขาขึ้น
ฝ่ายวิจัย บล. เอเซีย พลัส ระบุว่า หุ้นในกลุ่มพาณิชย์ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา คือ บมจ.คอมเซเว่น (COM 7), บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC), บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.สยามแมคโคร (MAKRO), บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) และ บมจ. ดูโฮม (DOHOME) ในไตรมาส 1/66 มีกำไรสุทธิรวมกันประมาณ 1.12 หมื่นล้านบาท ลดลง 4% QOQ และเพิ่มขึ้น 21% YOY
ทั้งนี้หากไม่รวมรายการพิเศษราว 443 ล้านบาท พบว่าหุ้นดังกล่าว มีกำไรปกติรวมกันราว 1.07 หมื่นล้านบาท ลดลง 5% QOQ และเพิ่มขึ้น 17% YOY โดยกำไรปกติที่ลดลง QOQ ผลจากฤดูกาล แต่หากเทียบ YOYกำไรโดยรวมยังเพิ่มขึ้นได้ดี เพราะผลการดำเนินงานของทุกบริษัทต่างโตดีขึ้น
โดยมีแรงหนุนจากสถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย ส่งผลให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น และมาตรการของภาครัฐเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายอย่าง “ช้อปดีมีคืน”ที่มีผลช่วง 1 ม.ค.-15 ก.พ.66ให้วงเงินลดหย่อนภาษีได้ถึง 40,000 บาทสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่กำหนดวงเงินลดหย่อนเพียง 30,000 บาท จึงช่วยให้การจับจ่ายสินค้าและบริการสูงในช่วงที่ยังมีมาตรการจากภาครัฐสนับสนุน
โดยงวดไตรมาส 1/66 หุ้นที่มีกำไรปกติเด่นสุด YOY คือ CRC เพิ่มขึ้น 93% YOY จากยอดขายและอัตรามาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในงวดไตรมาสแรกของปีนี้ยอดขายของ CRC โตขึ้นทุกกลุ่มสินค้าจากทั้งในไทยและอิตาลี โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มแฟชั่นที่มีมาร์จิ้นสูงช่วยผลักดันมาร์จิ้นโดยรวมให้โตตามไปด้วย รองลงมา คือ COM7 เพิ่มขึ้น 15% YOY แรงหนุนจากรายได้ที่เติบโตและมาร์จิ้นที่โตขึ้นเล็กน้อย
3ปัจจัยหนุนครึ่งปีหลัง
แนวโน้มกำไรหุ้นกลุ่มพาณิชย์(ค้าปลีก-ค้าส่ง)ในช่วงที่เหลือของปี66 คาดเติบโตได้ต่อเนื่อง ผลจาก 1)ยอดค้าปลีกได้แรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังเป็นขาขึ้น ฝ่ายวิจัยใช้ข้อมูลอดีตในช่วง 15 ปีก่อนหน้า(ปี51-65) พบว่าดัชนีค้าปลีก(RSI)ของไทย มีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ดัชนีค้าปลีกมักจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลง ที่แรงกว่าการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ซึ่งในงวดไตรมาส 1/66 เศรษฐกิจไทยโต 2.7% YOY ส่วนดัชนีค้าปลีกคาดว่าจะโตดีกว่าเศรษฐกิจ เนื่องจากช่วง ม.ค.66-ก.พ.66 มีอัตราเติบโตเฉลี่ยแล้ว 4.2%
โดยในช่วงที่เหลือของปีที่มีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตดีขึ้นได้ต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์โควิด19 คลี่คลายลงมาก และหากอิงข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยสำหรับปี66 จะเติบโต 3.6% นั่นหมายความว่าช่วงที่เหลืออีก 9 เดือนของปี66 จะต้องมีการเติบโตเฉลี่ยไตรมาสละ 3.9% จึงเชื่อว่ายอดค้าปลีกของไทยจะโตได้ในอัตราสูงกว่าเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับที่ผ่านมา
2)ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับขึ้นต่อเนื่อง ผลักดันการจับจ่ายจากการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง 15ปี(ปี60-65) พบว่าการเติบโตของดัชนียอดค้าปลีกของไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค แม้ว่าดัชนีค้าปลีกช่วงต้นปี66 ปรับลด MOM อย่างต่อเนื่อง นับจาก 49.7 ในเดือน ธ.ค.65 ผลของฤดูกาล แต่ยังเพิ่มขึ้นได้ YOY
โดยข้อมูลล่าสุดในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.66 ดัชนีค้าปลีกปรับขึ้นได้ราว 7% YOY และ 2% YOY ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นทุกเดือน ล่าสุดเดือน เม.ย.66 ขยับขึ้นมาที่ 55 ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะถัดไป(3-6 เดือนข้างหน้า) จึงเชื่อว่าดัชนีค้าปลีกจะเติบโตได้ดีเช่นกัน ส่งเสริมการจับจ่ายของผู้บริโภค
3)หากค่าแรงขึ้นเป็น 450 บาท มีผลกระทบไม่มากนัก และจะชดเชยบางส่วนด้วยค่าใช้จ่ายอื่นที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี66จากประเด็นเรื่องนโยบายของพรรค“ก้าวไกล”ที่จะขยับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 450 บาท หากมีการปรับขึ้นจริง เชื่อว่าจะกระทบหุ้นกลุ่มพาณิชย์บ้าง ทั้งนี้หากพิจารณาเฉพาะหุ้นกลุ่มพาณิชย์ที่เราศึกษาส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบไม่มากนัก เพราะพนักงานที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนพนักงานทั้งหมด และคาดจะชดเชยได้บางส่วนจากค่าใช้จ่ายอื่นๆที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยเฉพาะค่าสาธารณูปโภคที่จะประหยัดได้จากค่าไฟฟ้าที่ลดลงตามค่า FT ที่เริ่มลดลงแล้วตั้งแต่งวด เม.ย.-ก.ค.66 และยังมีแนวโน้มลดลงได้ต่อในงวด ส.ค.-พ.ย. 66
ทั้งนี้ฝ่ายได้ทำการวิเคราะห์ว่ากรณีแย่สุด คือ ค่าแรงปรับขึ้นเป็น 450 บาท ตั้งแต่ไตรมาส 4/66 ขณะที่ปัจจัยอื่นๆยังคงเดิมจะกระทบต่อกำไรปี66 ของหุ้นกลุ่มพาณิชย์ที่เราศึกษาราว 1-6% โดย CPALL น่าจะได้ผลกระทบมากสุด จากจำนวนสาขาที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศมากกว่าบริษัทอื่นๆในกลุ่ม ซึ่งฝ่ายเชื่อว่าหากปรับขึ้นค่าแรง แม้จะกระทบต่อค่าใช้จ่ายให้เพิ่มขึ้น แต่จะช่วยให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางมีกำลังซื้อที่สูงขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อการจับจ่ายซื้อสินค้าและยอดขายของกลุ่มพาณิชย์ให้สูงขึ้นตามไปด้วย โดยยอดขายน่าจะโตขึ้นได้มากกว่าค่าใช้จ่ายด้านค่าแรงที่เพิ่มขึ้น
Q2โตดีแม้ไร้“ช้อปดีมีคืน”
อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยมองว่าภาพกำไรสุทธิโดยรวมในงวดไตรมาส 2/66 ของกลุ่มจะชะลอตัวQOQ จากผลของฤดูกาล และมาตรการของภาครัฐเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายอย่าง “ช้อปดีมีคืน” ได้สิ้นสุดลงไปแล้วในช่วงกลางไตรมาส 1/66 แต่กำไรของกลุ่มยังโตได้ YOY จาก 1) ฐานต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และ 2) รายได้ที่คาดจะเติบโตขึ้นจากกำลังซื้อที่ดีขึ้นตามการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งฝ่ายมองว่า CRC น่าจะมีกำไรที่โดดเด่นสุดในไตรมาส 2/66 เติบได้สูง YOY จากฐานต่ำในไตรมาส 2/65 อีกทั้งยอดขายไตรมาส 2/66 ได้อานิสงค์จากธุรกิจในเวียดนามที่เริ่มดีขึ้น ทั้งที่เป็นการขายสินค้ากลุ่มก่อสร้าง ตกแต่ง และกลุ่มอาหารที่น่าจะฟื้นตัวขึ้นตามเศรษฐกิจของเวียดนามที่ตกต่ำในไตรมาสก่อน
ขณะที่ DOHOME ยังน่าจะมีผลการดำเนินงานที่ชะลอลงทั้ง QOQและ YOY จากผลของฤดูกาล และฐานที่สูงในงวดไตรมาส 2/65 โดยอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะยังต่ำลง YOY จากราคาเหล็กที่เป็นสินค้าหลักมีราคาลดลง โดยราคาเหล็กเส้นเฉลี่ยเดือน เม.ย.66 เหลือ 23 บาท/ก.ก. จาก 28 บาท/ก.ก. ในงวดไตรมาส 2/65
CRC ดีที่สุดในกลุ่มฯ
ฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก “มากกว่าตลาด” แม้กำไรไตรมาส 2/66 จะชะลอตัว QOQ แต่ยังโตดี YOY และในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มโตดีขึ้นเมื่อเทียบครึ่งปีแรก และเทียบครึ่งหลังปี65 เนื่องจากภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่คาดจะดีขึ้น นักท่องเที่ยวทึ่คาดจะทยอยเข้ามาไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส 4 บวกกับช่วงเทศกาลส่งท้ายปีส่งเสริมการใช้จ่าย
ฝ่ายวิจัยเลือก "CRC" เป็น Top pick เพราะระยะสั้นเป็นหุ้นที่คาดว่าจะมีราคาที่ Outperform ตลาดได้ จากการเติบโตของกำไรไตรมาส 2/66 ที่น่าจะเด่นสุด เชื่อว่ากำไรสุทธิยังเติบโตYoYเมื่อเทียบกับฐานต่ำในไตรมาส 2/65 ที่ยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด รวมทั้งมีรายการพิเศษจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และขาดทุนจากการขายสินทรัพย์
ซึ่งในไตรมาส 2/66 คาดรายได้จากการขายสินค้าที่คาดจะสูงขึ้นได้ในทั้งประเทศไทยและอิตาลี จากกำลังซื้อในประเทศที่คาดจะเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่วนห้างฯจำหน่ายสินค้าแฟชั่นในประเทศอิตาลี คาดได้รับผลกระทบน้อยจากภาวะเศรษฐกิจในยุโรปที่มีแนวโน้มจะชะลอตัว เพราะมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นระดับกลาง-บน ซึ่งมีแรงต้านทานต่อภาวะเศรษฐกิจสูง อีกทั้งคาดว่าอัตรามาร์จิ้นจะปรับสูงขึ้นตามยอดขายสินค้ากลุ่มแฟชั่นที่ยังเติบโตสูง
ส่วนในช่วงครึ่งหลังปี66 ภาพรวมของ CRC สดใส เพราะยอดขายจะได้แรงหนุนจากช่วงส่งท้ายปี ที่ผู้บริโภคมักมีการจับจ่ายสินค้าสูงกว่าช่วงอื่นๆ บวกกับนโยบายการให้ส่วนลดพื้นที่เช่าที่คาดว่าจะทยอยปรับสู่อัตราปกติได้ภายในช่วงกลางปี66 ขณะที่ค่าไฟฟ้ายังคงมีแนวโน้มลดลงได้อีก ตามค่า FT ที่คาดจะปรับลงต่อได้อีก สำหรับด้านค่าแรงแม้มีโอกาสที่อาจต้องปรับขึ้นตามนโยบายของพรรคก้าวไกลที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท แต่เชื่อว่ามีผลกระทบไม่มาก(ต่ำกว่า 0.5% ของยอดขาย)เพราะปัจจุบัน CRC มีจำนวนพนักงานที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำราว 20% ของพนักงานทั้งหมด
นอกจากนี้ คาดว่ายอดขายที่จะเพิ่มขึ้นจากกำลังซื้อที่สูงขึ้นจะชดเชยผลกระทบจากค่าแรงที่ปรับขึ้นมาได้ ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า CRC จะ“Outperform” ตลาดได้ เนื่องจาก 1)ระยะสั้นยังคาดหวังการเติบโต YoY ของกำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ได้ 2)มี Upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการ จากแผนของบริษัทที่จะเปิดตัวธุรกิจใหม่ในครึ่งปีหลังนี้ และ 3)ราคาหุ้นปรับลดลงแรงกว่า 9% จากช่วงก่อนเลือกตั้ง แต่ปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่ ราคาเป้าหมาย 55 บาท