6 หุ้น mai ทรงไม่แบด ลุ้น Outperform ช่วงสั้น
หุ้น mai ไตรมาส 1/66 ฟื้นแบบ V-Shape โบรกสแกนช่วงที่เหลือของปีโตต่อ ภาพระยะสั้นมีลุ้น Outperform รอการเมืองนิ่ง พร้อมเชียร์ 6 หุ้นทรงไม่แบด เข้าธีม Downside จำกัด ราคาถูก สถานะการเงินแกร่ง
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ระบุว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 1/66 ของบริษัทที่จดทะเบียนใน mai อยู่ที่ 2,036 ล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิ 324 ล้านบาทในไตรมาส 4/65 แต่ยังลดลงแบบ YoY ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 จากฐานที่สูงในปีก่อน เพราะเป็นช่วงที่ได้แรงหนุนจากการเร่งตัวขึ้นของอุปสงค์ หลังจาก COVID-19 คลายตัวลง
กลุ่มที่โตเด่น YoY ในไตรมาสนี้ คือ สินค้าเกษตร การเงิน อสังหาริมทรัพย์ บริการ และเทคโนโลยีส่วนกลุ่มที่ชะลอ YoY คือ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอุตสาหกรรม และทรัพยากรด้านรายได้รวมฟื้นตัวเล็กน้อย 4% YoY เป็น 5.3 หมื่นล้านบาท แต่อัตรากำไรสุทธิที่ 3.96% ยังต่ำกว่าอดีตที่ 5.5-6.5% สะท้อนความสามารถในการทำกำไรที่ยังไม่กลับสู่ระดับปกติ
mai กลับมา Outperform
ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กใน mai มีโอกาสกลับมา Outperform หุ้นขนาดใหญ่ชั่วคราว ด้วย 4 เหตุผลคือ
1) หุ้นขนาดเล็กถูกกระทบจากการไหลออกของเงินทุนต่างชาติจำกัด
2) หุ้นขนาดเล็กเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ได้รับการสนับสนุนจากทุกพรรคการเมืองจึงได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาลจำกัดกว่าหุ้นขนาดใหญ่
3) การบริโภคในประเทศ เป็นองค์ประกอบเดียวใน GDP ที่ยังมีการเติบโต เพราะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและคาดว่าจะได้แรงหนุนต่อเนื่องหลังจากได้รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งการเติบโตของภาคบริโภค มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกับ mai มากกว่าองค์ประกอบอื่นของ GDP
4) จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ พบว่าความร้อนแรงของ mai เมื่อเทียบกับ SET ได้ถูกปรับสมดุลจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจแล้ว โดย Index ratio ระหว่าง mai : SET ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดที่ 0.41 เท่าในไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 0.32 เท่าในปัจจุบัน ซึ่งเป็นระดับเดียวกับค่าเฉลี่ย 10ปีย้อนหลัง สะท้อนว่าราคาหุ้นใน mai โดยเฉลี่ยไม่ได้อยู่ในภาวะร้อนแรงมากเกินไปเมื่อเทียบกับ SET
6หุ้นเข้าธีมโตดี-การเงินแกร่ง-เสี่ยงต่ำ
ฝ่ายวิเคราะห์ คัดหุ้น mai ที่น่าสนใจสำหรับการเก็งกำไรในช่วง 3 เดือนข้างหน้า โดยอิง 1.ผลประกอบการไตรมาส 1/66 โต YoY และมีสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิทั้งปีก่อน 2.ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตในช่วงที่เหลือของปี 3.Valuationไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตหรือค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
4.ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง D/E Ratio ต่ำ เงินสดในมือสูงหรือกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก 5.ได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลจำกัด
และ 6.มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหรือมีธีมการลงทุนที่ชัดเจน ได้แก่ AUCT, BE8, IP, KJL, MASTER และ TNP (หุ้นนอก Coverage ของฝ่ายวิเคราะห์)
รถยึดแน่น AUCT
หุ้น AUCT ปี 66 หนุนจากปริมาณรถยึดของสถาบันการเงินทั้งธนาคารและไฟแนนซ์ที่ไหลเข้าสู่ระบบลานประมูลมากขึ้น หลังเพิ่มความเข้มงวด และความเร็วในการติดตามยึดรถ และเร่งกระบวนการระบายรถเพื่อไม่ให้เกิดผลขาดทุนจากการขายหลักประกัน
นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมดำเนินการประมูลของรถยนต์จากเดิม 9,000 บาทต่อคัน เป็น 10,000 บาทต่อคัน ตั้งแต่เดือน ส.ค.65 ทำให้รับรู้ผลเข้ามาเต็มปีเป็นปีแรก
หนุนฝ่ายวิเคราะห์คาดปี66 กำไรสุทธิ 287 ล้านบาท โต 14.4%YoY แต่ในไตรมาส 2/66 คาดกำไรสุทธิของ AUCT ชะลอลง QoQ จากผลของฤดูกาล เพราะเป็น Low Season แต่ YoY คาดยังน่าสนใจและจะเริ่มเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ก่อนที่จะเข้าสู่ High Season ในไตรมาส 4/66
ฝ่ายวิเคราะห์คาดผลการดำเนินงานของ AUCT ใน 1-2 ปีนี้อยู่ในระดับที่น่าสนใจ จากการเร่งระบายหลักประกันที่เป็นรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของสถาบันการเงิน เพื่อปรับปรุงคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 14.3% จากมูลค่าพื้นฐานปี66 ที่ 12 บาท และคาดให้ Div. Yield อีก 3.5% จึงคงคำแนะนำซื้อ
BE8 ได้ลูกดี
หุ้น BE8 ฝ่ายประเมินเผลประกอบการไตรมาส 2/66 คาดเติบโตเด่น YoY หนุนจากผลบวกของการรวมงบการเงินของบริษัทลูกเป็นปีแรก และการทำ Synergy ยอดขายระหว่างกลุ่ม คงคำแนะนำ“ซื้อ”อิงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 66 ที่ 55.25 บาทต่อหุ้น(อิง PER 49x) เชิงกลยุทธ์ถึงรอบการทยอยสะสม ราคาหุ้นปรับฐานลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
ขณะที่ผลประกอบการระยะสั้นคาดเติบโตเด่น YoY และในช่วง 3-6 เดือนจากนี้มีลุ้นการเติบโตแบบ Inorganic ในต่างประเทศเป็น Catalyst สำคัญต่อราคาหุ้น
IP นำลูกเข้าตลท.
สำหรับ หุ้น IP คาดผลประกอบการไตรมาส 2/66 ทรงตัว QoQ เติบโต YoY เนื่องจากมีวันหยุดเทศกาลหนุนจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น และสภาพอากาศที่ร้อนช่วยหนุน Traffic คนเดินห้างสรรพสินค้าเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจร้านขายยา
อีกทั้ง IP มีแผนนำธุรกิจร้านขายยา Lab Pharmacy จดทะเบียนในตลาดภายในปี 67 เพื่อนำเงินมาลงทุนพัฒนาระบบ และขยายสาขาเพิ่ม คงคำแนะนำซื้อ ปี 66 คาดเติบโตจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ร้านขายยาขยายสาขา รวมถึงขยายตลาดผลิตภัณฑ์ไปต่างประเทศมากขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ให้มูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี66 ที่ 20.10 บาท ด้วยวิธีDCF สมมติฐาน WACC 6.7%
KJL ครึ่งหลังมีสตอรี่
หุ้น KJL แนวโน้มผลประกอบไตรมาส 2/66 ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรสุทธิในกรอบ 35-37 ล้านบาท ดีขึ้นทั้งจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และอัตราการทำกำไรที่ยังทรงตัวได้ในระดับสูง เนื่องจากราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักยังลดลง และในไตรมาส 2/66 มีการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 22 ล้านชิ้นในไตรมาส 1/66 เป็น 25 ล้านชิ้น
ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังคาดกำไรปกติจะเติบโตต่อเนื่อง จากกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 30 ล้านชิ้นในไตรมาส 4/66 และรับรู้รายได้โครงการใหม่ที่ได้รับ ได้แก่ Amazon Data Center จ.ระยอง คาดแล้วเสร็จสิ้นปี66 รวมทั้งคุมต้นทุนได้ดี ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 30% และอัตรากำไรสุทธิที่ 13-14%
ดังนั้นคงประมาณการกำไรสุทธิปี66 ที่ 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% YoY และในปี67 ที่ 177 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.8% YoY ซึ่ง KJL มีแผนการจะเปิดตัวสินค้าใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้เพื่อรองรับความต้องการของตลาดและขยายตัวไปตลาด EV มากขึ้น คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี66 ที่ 10.50 บาท อิง PER ที่ 16.5 เท่า แต่เทียบกับราคาปัจจุบัน มี Upside จำกัด จึงลดคำแนะนำลงจาก “ซื้อ” เป็น “TRADING”
MASTER มีดีต้องอวด
สุดท้าย คือ หุ้น MASTER ฝ่ายคาดว่าประมาณการกำไรปี66 ยังอยู่ในวิสัยที่บริษัทสามารถทำได้ ขณะที่กำไรปี 67 อาจมี Upside risk ให้ปรับประมาณการขึ้นได้ทั้งจากการเติบโตภายในและการ M&A แม้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันจะซื้อขายบน PER66 ค่อนข้างสูงที่ราว 43 เท่า แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยบวกที่ยังไม่รวมในประมาณการเช่นกัน
และราคาหุ้นปรับตัวลง 13% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาจากระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 18 เม.ย.66 ทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside gain จากราคาเป้าหมายที่ 92.50 บาท แล้ว 16.7% จึงปรับคำแนะนำขึ้นจาก "TRADING" เป็น "ซื้อ"
อย่างไรก็ตาม แม้ mai จะมีความน่าสนใจหลายมุมมอง แต่เนื่องจากมูลค่าการซื้อขาย โดยภาพรวมยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งข้อมูลในอดีตบ่งชี้ว่า mai จะ Outperform SET ได้ในรอบใหญ่ ต้องเป็นช่วงที่มูลค่าการซื้อขายเร่งตัวขึ้นเท่านั้น ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินการกลับมา Outperform รอบนี้เป็นเพียงภาพระยะสั้น และให้น้ำหนักการลงทุนหุ้น mai เพียงเก็งกำไรเท่านั้น โดยนักลงทุนควรใช้ปัจจัยทางเทคนิคเป็นเครื่องมือช่วยจับจังหวะการลงทุนและให้ Stop loss ทันทีเมื่อราคาเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลง


