posttoday

BCP เฮ! ผู้ถือหุ้นไฟเขียวเทคโอเวอร์ ESSO

12 เมษายน 2566

ผู้ถือหุ้น BCP ไฟเขียวเข้าซื้อหุ้น ESSO ในสัดส่วน 65.99% และทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด ในสัดส่วน 34.01% พร้อมอนุมัติวงเงินออกและเสนอขายหุ้นกู้ ระยะเวลา 5 ปี (2566-2570) ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP จัดประชุมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันนี้ (11 เม.ย.2566) โดยมีวาระในการพิจารณาอนุมัติดังนี้ 

1.รับทราบรายงานของคณะกรรมการเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบปี 2565
2.พิจารณาอนุมัติงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2565
3.พิจารณาอนุมัติจัดสรรกำไรเพื่อจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 
4.พิจารณาเลือกตั้งกรรมการแทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ
5.พิจารณากำหนดค่าตอบแทนกรรมการ
6.พิจารณาแต่งตั้งและกำหนดค่าตอบแทนผู้สอบบัญชี 
7.พิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญและการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดใน บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ซึ่งเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัท
8.พิจารณาอนุมัติวงเงินในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ระยะเวลา 5 ปี (ปี 2566-2570) 
9.พิจารณาอนุมัติแก้ไขข้อบังคับบริษัท
10.พิจารณาอนุมัติแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิข้อ 3 (วัตถุประสงค์ของบริษัท)

สำหรับวาระที่น่าสนใจ ได้แก่ ได้แก่ วาระที่ 7 พิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญและการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดใน บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ซึ่งเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัท และวาระที่ 8 พิจารณาอนุมัติวงเงินในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ระยะเวลา 5 ปี (ปี 2566-2570)

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 มีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญและการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดใน บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ด้วยคะแนนเสียง 99.86% 

โดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญโดยตรงจำนวน 2,283,750,000 หุ้น ใน บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO (คิดเป็นประมาณ 65.99% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ ESSO ณ วันที่ 30 ก.ย.2565) จากผู้ขาย ได้แก่ ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. โดยบริษัทได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับผู้ขายเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2566

และการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญที่เหลือทั้งหมดใน ESSO เป็นจำนวนไม่เกิน 1,177,108,000 หุ้น (คิดเป็นประมาณ 34.01% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ ESSO ณ วันที่ 30 ก.ย.2565) ภายหลังจากที่ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นเสร็จสิ้น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 12/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการใน การเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (ตามที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) เพื่อได้มาซึ่งหุ้นที่เหลือทั้งหมดใน ESSO ในราคาเดียวกันกับราคาซื้อหุ้น ESSO ในธุรกรรมซื้อขายหุ้น เนื่องจากจะทำให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต 

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าเงื่อนไขบังคับก่อนภายใต้สัญญาซื้อขายหุ้นจะเสร็จสมบูรณ์และสามารถทำการซื้อขายหุ้นที่ซื้อขายได้ภายในระยะเวลา 12 เดือน หลังจากวันที่ของสัญญาซื้อขายหุ้น โดยเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนสำเร็จเสร็จสิ้น 

การซื้อ ESSO ในครั้งนี้ ถือเป็นกลยุทธ์ระยะยาว ทำให้บริษัทไม่ต้องขยายโรงกลั่นแห่งที่ 2 จากเดิมโรงกลั่นบางจากมี 1 แห่ง ที่สุขุมวิท กำลังการผลิต 174,000 ล้านบาร์เรล และโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ขนาด 174,000 ล้านบาทบาร์เรล รวมเป็น 294,000 ล้านบาร์เรล ส่วนสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ 700-800 สาขา รวมกับบางจากอีก 1,300 สาขา เป็น 2,100 สาขา ถือเป็นผู้นำสถานีบริการน้ำมันที่ขณะนี้จะเบอร์ 1 2 หรือ 3 ก็มีจำนวนระดับนี้ ส่วนระบบท่อ บริษัทได้สิทธิ์เข้าไปใช้ด้วยเช่นกัน

“ราคาหุ้นสุดท้ายที่เข้าซื้อนั้น จะต้องรอปิดงบการเงินตามแผนไตรมาส 2/2566 เชื่อว่าจะอยู่ในราคาที่คำนวนไว้ที่ 8-9 บาท โดยขั้นตอน 2 ใน 3 ที่บังคับจบแล้ว เหลือขั้นตอนสุดท้าย คือ คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ซึ่งคาดว่าอยู่ในช่วงเดือน ก.ค. 2566 และจะต้องหารือกับสถาบันทางการเงินช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 2566 จึงคาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะจบหมด” นายชัยวัฒน์ กล่าว

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติวงเงินในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ระยะเวลา 5 ปี (ปี 2566-2570) เป็นวงเงินรวมไม่เกิน 80,000 ล้านบาท หรือสกุลเงินอื่นเทียบเท่า ณ ขณะใดขณะหนึ่ง เพื่อใช้ในการลงทุน และ/หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป และ/หรือเพื่อชำระคืน หนี้สินเดิม และ/หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่เกี่ยวข้องกับกิจการของบริษัท ตามความเหมาะสมกับความต้องการใช้เงินของบริษัท และสภาวะตลาดในแต่ละขณะ รวมทั้งยกเลิกวงเงินคงเหลือ 6,000 ล้านบาท ด้วยคะแนนเสียง 99.49% 

อนึ่ง ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ได้อนุมัติแผนการจัดหาเงินกู้วงเงินรวมไม่เกิน 50,000 ล้าน บาท ระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2562-2566 โดยบริษัทได้ใช้วงเงินดังกล่าวแล้ว 44,000 ล้านบาท คงเหลืออีก 6,000 ล้านบาท ดังนั้นจึงขอยกเลิกวงเงินส่วนที่เหลือดังกล่าว