posttoday

อินโนเวสท์ เอกซ์ ฉาย 5 หุ้นเด่น ธีมปีหน้าเน้นไทยฟื้นและจีนเปิดประเทศ

20 ธันวาคม 2565

มุมมองการลงทุนปีหน้าของอินโนเวสท์ เอกซ์ เน้นให้น้ำหนักกับหุ้นที่ได้อานิสงค์จากการเปิดประเทศของจีนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นหลัก ได้แก่ AOT BBL BCP CPALL และ MINT สำหรับไตรมาสแรกของปี 2023

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า  ในช่วงเปลี่ยนผ่านของปี 2023 เศรษฐกิจโลกจะมีลักษณะ 3 ประการ

 

ประการแรก การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้การเติบโตของเศรษฐกิจระหว่างตลาดพัฒนาแล้ว (DM) กับตลาดเกิดใหม่ (EM) จะแตกต่างกัน ซึ่ง DM มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation อย่างรุนแรง หรืออย่างน้อยที่สุดจะเกิดภาวะถดถอยอย่างอ่อน ๆ ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจ EM จะชะลอตัวลง แต่มีโอกาสเกิดภาวะถดถอยรุนแรงน้อยกว่า  

 

ประการที่สอง เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ และเศรษฐกิจ EM หลายประเทศ ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและมีแนวโน้มชะลอตัวลง ในปี 2023 อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะลดลงจากฐานสูงและอุปสงค์ทั่วโลกที่ลดลงอันเนื่องมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

 

ประการที่สาม อัตราดอกเบี้ยนโยบายเชื่อว่าดอกเบี้ยสูงเกินไปเพื่อให้ครอบคลุมอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง ขณะที่ประเทศในฝั่งเอเชีย รวมถึงไทยจะยังปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ดังนั้นจึงประเมิน SET Index ปี 2023 ที่อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,750 จุด จุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,500-1,600 จุด ซึ่งคาดว่าจะเห็นใน 1Q23

 

สำหรับการกลับมาเปิดประเทศของจีนนั้น คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 2Q23 ซึ่งมองว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกต่อการผ่อนคลายนโยบายของจีน เนื่องจากการท่องเที่ยวจากจีนเป็นรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทยและจะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าสุทธิ

 

หากมองยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะ Stagflation ในปี 2023 กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะหดตัวลงในปี 2023 โดยมีสาเหตุมาจากวิกฤตพลังงานที่ดำเนินอยู่และนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ที่อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายทั้งในปี 2022 และปี 2023 แรงกดดันเงินเฟ้อในยูโรโซนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่เคยคาด

 

ส่วนภาพเศรษฐกิจไทยในปี 2023 เชื่อจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2022 โดยมีการชะลอตัวลงของการส่งออก การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐ เป็นแรงกดดันหลักแต่อย่างไรก็ดีภาคการท่องเที่ยว ภาคบริการ และการบริโภคในประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโต ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
 

โดยเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเร็วที่สุดในไตรมาสที่ 1 มี GDP เติบโตประมาณ 4% และจะชะลอตัวลงอีกในช่วงครึ่งปีหลัง แต่จะเติบโตเกือบ 2% ในไตรมาสที่ 4 จากสาเหตุหลัก 3 ด้าน 

 

หนึ่ง คือเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลทำให้การส่งออกปรับตัวลดลง  สอง ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจ แต่แรงขับเคลื่อนอื่น ๆ เช่น การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ ทั้งการบริโภคและการลงทุนจะอ่อนแรง สำหรับสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและการเบิกจ่ายที่ชะลอตัวของโครงการภาครัฐ

 

และ ท้ายสุด เชื่อว่าภาคการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต จึงคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยราว 21-25 ล้านคน ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางระยะใกล้ (short-haul) มากกว่าระยะไกล (long-haul) ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับประเทศน้อยกว่า

 

กลยุทธ์การลงทุนในแรงกดดันสำหรับภาวะทางการเงินที่เข้มงวดต่อเนื่องใน 1Q23 มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความเสี่ยงที่กำไรจะชะลอตัวลง และความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินปรับตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจแสดงสัญญาณชะลอตัวลงต่อเนื่อง ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมกับการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากขึ้น

 

โดยจะเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะทำจุดสูงสุด เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงถึงจุดต่ำสุดอย่างเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นภายในปลาย 1Q23 ถึงต้น 2Q23 ดังนั้น จึงเล็งเห็นโอกาสในการเพิ่มสถานะโดยเฉพาะกับการเปิดประเทศของจีน และอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่ง จึงแนะนำหุ้นที่มีงบดุลและกระแสเงินสดที่ดี  ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีน  กำไรมีแนวโน้มเติบโตและฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างชัดเจน โดยหุ้นเด่นใน 1Q23 คือ AOT BBL BCP CPALL และ MINT       

 

สรุปประเด็นการลงทุนของหุ้นรายตัว

 

AOT : เป็นบริษัทที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีนและการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐที่จะช่วยหนุนการเติบโตจากตลาดภายในประเทศ และแนวโน้มกำไรจะฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นในปี 2023

 

BBL : เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาพการฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2022 และได้ประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.25% เป็น 2% ในปี 2023 นอกจากนั้นมองการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ที่จะส่งผลกับกระแสเงินไหลเข้า ซึ่งกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มได้ประโยชน์จากประเด็นนี้

 

BCP : มองว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศของจีน นอกจากนั้นบริษัทเป็นบริษัทที่มีลักษณะเชิงรับและมีเงินปันผลดีซึ่งสามารถช่วยลดความผันผวนของตลาดได้ดี

 

CPALL : ด้วยการบริโภคในประเทศที่จะมีการเติบโตได้อย่างโดดเด่น และมีแนวโน้มที่ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะช่วยให้ยอดขายฟื้นตัวต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังได้ประโยชน์จากช่วงการเลือกตั้งในปี 2023

 

MINT : เป็นบริษัทที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีน ต้นทุนพลังงานในยุโรปเริ่มมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ธุรกิจอาหารมีแนวโน้มฟื้นตัวโดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ นอกจากนั้นการประเมินมูลค่าหุ้นของ MINT นั้นต่ำกว่ากลุ่มราว 15-20%

 

อินโนเวสท์ เอกซ์  ฉาย 5 หุ้นเด่น ธีมปีหน้าเน้นไทยฟื้นและจีนเปิดประเทศ