posttoday

กนง. นัดสุดท้าย ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% รวมทั้งปี 68 ลด 1.00% เป็น 1.25% ต่อปี

17 ธันวาคม 2568

กนง. นัดสุดท้ายปี 68 มีมติเอกฉันท์ ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.25% ต่อปี ทั้งปี 68 ลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง รวม 1.00%

KEY

POINTS

  • กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปี 2568
  • ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 1.25% ต่อปี จากเดิม 1.50% ต่อปี
  • ภาพรวมทั้งปี 2568 กนง. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง คิดเป็น 1.00% ต่อปี

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ (17 ธ.ค.2568) ซึ่งเป็นครั้งที่ 6 หรือครั้งสุดท้ายของปี 2568 คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.25% ต่อปี รวมทั้งปี 2568 กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายจำนวน 4 ครั้ง รวม 1.00% ต่อปี จาก 2.25% เหลือ 1.25% ต่อปี 

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 17 ธ.ค.2568 คณะกรรมการฯ มีมติเอกฉันท์ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.50% เป็น 1.25% ต่อปี โดยให้มีผลทันที

โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ภายใต้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบาง รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิผลของมาตรการทางการเงินและนโยบายอื่นของภาครัฐ จึงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ในการประชุมครั้งนี้ 

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ปี 2569 และ ปี 2570 มีแนวโน้มขยายตัว 2.2% 1.5% และ 2.3% ตามลำดับ โดยเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปีนี้ชะลอลงจากปัจจัยชั่วคราวในภาคการผลิต จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ที่ลดลง รวมทั้งสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า 

สำหรับเศรษฐกิจในปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงจากปีนี้ ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอลงตามรายได้ และการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว ทั้งนี้ เศรษฐกิจในปี 2570 มีแนวโน้มฟื้นตัวแต่ยังต่ำกว่าศักยภาพ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการฟื้นตัวของภาคบริการ ขณะที่การส่งออกสินค้าและภาคการผลิตยังถูกกดดันจากการแข่งขันที่สูง 

ในระยะข้างหน้า ต้องติดตามความเสี่ยงจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจมีเพิ่มเติม ความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณปี 2570 และการปรับตัวของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาด้านการแข่งขันและการเข้าถึงสินเชื่อ คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง จึงจำเป็นต้องผสมผสานนโยบายหลายด้านเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 ปี 2569 และ ปี 2570 ปรับลดลงเทียบกับประมาณการเดิม โดยมีแนวโน้มอยู่ที่ -0.1% 0.3% และ 1.0% ตามลำดับ และคาดว่าจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงครึ่งแรกของปี 2570 โดยอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเป็นผลจากราคาพลังงานโลกที่ปรับลดลงและมาตรการอุดหนุนค่าครองชีพของภาครัฐ รวมทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่มีจำกัด 

ทั้งนี้ ความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอยู่ในระดับต่ำสะท้อนจากราคาสินค้าและบริการที่ไม่ได้ปรับลดลงเป็นวงกว้าง คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอย่างใกล้ชิด 

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 ปี 2569 และปี 2570 มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ที่ 0.8% 0.8% และ 1.0% ตามลำดับ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางลดลงเล็กน้อยแต่ยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมาย 

ด้านอัตราดอกเบี้ยในระบบสถาบันการเงินและตลาดการเงินปรับลดลงตามการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมา ซึ่งช่วยลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือน อย่างไรก็ดี สินเชื่อยังหดตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งสะท้อนการชะลอการใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชนภายใต้ความไม่แน่นอนสูง ขณะที่สถาบันการเงินยังระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงโดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและสนับสนุนให้มีมาตรการทางการเงินเฉพาะจุดเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง

ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ ปรับแข็งค่าอยู่ในกลุ่มนำสกุลภูมิภาคตามการปรับคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และปัจจัยเฉพาะของไทย คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ยกระดับการติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด รวมถึงพิจารณาแนวทางดำเนินการกับธุรกรรมที่สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ

“เศรษฐกิจไทยในปี 2569 และปี 2570 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากครึ่งแรกของปี 2568 ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอลงตามแนวโน้มรายได้ และภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำตามราคาพลังงานและอาหารสดเป็นสำคัญ ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์มีจำกัดในภาวะที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ด้านสินเชื่อรวมยังหดตัวและคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบางยังด้อยลง โดย SMEs ถูกกดดันด้านสภาพคล่องจากทั้งปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อและการแข็งค่าของเงินบาท” 

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยจะติดตามพัฒนาการและความเสี่ยงเศรษฐกิจการเงินและพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะเดียวกันควรคำนึงถึงการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว และขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีจำกัดในการรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด 

ย้อนผลประชุม กนง.ตั้งแต่ต้นปี 68   

กนง. นัดสุดท้าย ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% รวมทั้งปี 68 ลด 1.00% เป็น 1.25% ต่อปี

สำหรับผลการประชุม กนง. ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 6 ครั้ง ดังนี้ 

ครั้งที่ 1 วันที่ 26 ก.พ.2568 

  • ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.25% เป็น 2.00% ต่อปี   

ครั้งที่ 2 วันที่ 30 เม.ย.2568

  • ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.00% เป็น 1.75% ต่อปี

ครั้งที่ 3 วันที่ 25 มิ.ย.2568 

  • คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี

ครั้งที่ 4 วันที่ 13 ส.ค.2568

  • ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี

ครั้งที่ 5 วันที่ 8 ต.ค.2568

  • คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี

ครั้งที่ 6 วันที่ 17 ธ.ค.2568

  • ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.50% เป็น 1.25% ต่อปี

ทั้งนี้ ภาพรวมทั้งปี 2568 กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งสิ้น 1.00% จาก 2.25% เหลือ 1.25% ต่อปี 

ข่าวล่าสุด

ภาพลักษณ์ประเทศสำคัญไฉน? ’สแกมเมอร์’ ทำพิษ ‘กัมพูชา’! ดีลยักษ์ Trip.com จึงต้องล้ม