เอกชนไทย แนะปรับโมเดลธุรกิจรับมือการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์
“เอกชน” ไทยเตรียมรับมือปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ปรับโมเดลธุรกิจ “เอ็กซิมแบงก์” ชูสมการ 3 กิ๊ก บริหารความเสี่ยงธุรกิจ “หอการค้า” แนะธุรกิจออกจากคอมฟอร์ตโซน เตรียมรับมือโลกแบ่งขั้ว “สมาคมนายจ้างอิเล็กฯ” แนะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของอุตสาหกรรมในไทย รับมือเงินเฟื้อ
23 ม.ค. “กรุงเทพธุรกิจ” จัดสัมมนาหัวข้อ “Geopolitics : The Big Challenge for Business โลกแบ่งขั้ว ธุรกิจพลิกเกม” โดยมีภาครัฐและเอกชน ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองการดำเนินธุรกิจ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งระหว่างจีน-ไต้หวัน รวมถึงความขัดแย้งทางนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน ห่วงโซ่อุปทานด้านต่างๆ ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ไทยต้องปรับตัว ดังนี้
1. เพิ่มพันธมิตรทางการค้า สนับสนุนกติกาการค้าโลก
2. รวมกลุ่มอาเซียนเพิ่มอำนาจต่อรอง ใช้ประโยชน์จากภูมิรัฐศาสตร์
3. แสวงหาโอกาสภายใต้วิกฤต พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ดึงดูดการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือสินค้าที่ผลิตมีการทำลายป่าหรือไม่
4. ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก FTA ที่มีอยู่ และเข้าร่วมข้อตกลงที่เป็นประโยชน์กับไทย
ขณะที่ นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า สหรัฐกับจีนเหมือนสมการครอบครัว เช่น การแต่งงาน 10 ปีมีลูก 3 คน แล้วเกิดการหย่าร้างแต่ไม่ถึงกับแตกหัก ดังนั้น สิ่งที่เห็น คือ ความย้อนแย้งหลายอย่าง เช่น เกลียดกันแต่ขาดกันไม่ได้
สหรัฐสั่งซื้อสินค้าจากจีน จีนซื้อเทคโนโลยีจากสหรัฐสูงถึง 30-40% อีกทั้งธุรกิจของ 2 ประเทศยังเปิดให้บริการได้ ซึ่งแนวทางการดำเนินธุรกิจควรบริหารความเสี่ยง ไม่ควรถือค่าเงินไว้เพียงค่าเงินเดียว จึงขอเปรียบสมการ 3 กิ๊ก
1.กิ๊กด้านการเงิน เพราะเราไม่สามารถยึดโยงบ้านใหญ่ได้บ้านเดียว ดังนั้น ต้องมีเงินหลายสกุลทั้งหยวน หรือ ยูโร
2.กิ๊กในมุมของฐานการผลิต การทำธุรกิจจะต้องมีฐานการผลิตมากกว่า 2 ประเทศ
3. กิ๊กด้านการตลาด เพราะตลาดหลักไม่ใช่คำตอบอีกต่อไปแล้ว จะเห็นได้จากการเติบโตของ GDP โลกไม่เกิน 2% แล้ว โดยตลาดที่จะเป็นกิ๊กได้ดีตอนนี้ คือ เอเชียใต้ และตลาดอาเซียน
ทั้งนี้ ยังต้องผลักทุนไทยไปต่างประเทศ ซึ่ง EXIM BANK ร่วมมือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สนับสนุนธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศ บริษัทใหญ่ไม่ได้มีฐานการผลิตแค่ในไทยเท่านั้น แต่ยังขยายสาขานอกประเทศ ซึ่งแตกต่างจาก 20-30 ปีที่ผ่านมา ที่เน้นดึงเงินลงทุนเข้าไทย ดังนั้น การทำธุรกิจจากนี้ต้องสร้างสมดุลทั้งการดึงทุนต่างชาติและการสร้าง ecosystem ในประเทศ
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แย่งตลาดจากจีน หรือผันตัวเป็นมือที่ 3 อย่างมีชั้นเชิง
ด้านนายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หลังสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เริ่มชัดเจนขึ้น ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นผลจากราคาพลังงานหรืออัตราเงินเฟ้อจนกระทบผู้นำเข้าและส่งออก ซึ่งธุรกิจต้องวางแผนหาทางออกไว้ให้พร้อมเสมอ
6 ประเด็นที่ภาคเอกชนไทยต้องเจอในปี 2566 หลังธุรกิจเริ่มฟื้นตัวจากโควิด-19 และสงครามรัสเซีย ยูเครน
1. ธุรกิจที่เกี่ยวกับสังคมคาร์บอนต่ำ เช่น ตลาดคาร์บอนเครดิต จะมีการซื้อขายมากขึ้น ถือเป็นโอกาสของไทยที่ควรคว้าไว้ และปลูกป่าเพิ่มขึ้นเพื่อดูดซับคาร์บอน
2.ราคาสินค้ายังมีต้นทุนสูง
3.อัตราดอกเบี้ยยังสูง จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับนโยบายแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
4.เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ผู้ผลิตไม่ควรมีการสต็อกสินค้ามากเกินไปเพราะเสี่ยงที่จะไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้หมด
5.การท่องเที่ยวฟื้นตัว และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะมีการเติบโต และจ้างงานเพิ่ม
6.ต่างชาติบางส่วนจะเริ่มกลับมารักษาพยาบาลในไทย จากภาพลักษ์และคุณภาพการให้บริการด้านการแพทย์ที่มีชื่อเสียง
ขณะที่ นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า ทางออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ท่ามกลางโลกที่มีความขัดแย้งมีสิ่งสำคัญที่ต้องโฟกัส 3 ประเด็นคือ
ภาวะเงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ จุดแข็งของไทยคือด้านความน่าเชื่อถือ สามารถปรับตัวจากวิกฤตและอยู่รอดได้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง
เราควรโฟกัสจุดแข็งของตนเองไปพร้อมกับการรักษาพันธมิตร เล่นในตลาที่เติบโตได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องใช้ทุนมากและไม่ต้องยุ่งกับการเมืองหรือความขัดแย้ง รวมถึงต้องมีความชัดเจนมากขึ้นด้านความยั่งยืนซึ่งภาครัฐอาจต้องเข้ามาช่วย
ขณะที่อีกประเด็นที่สำคัญ ต้องมีการพัฒนาองค์ความรู้ โดยเฉพาะในโมเดลธุรกิจใหม่ๆ และก้าวไปสู่พลังงานสีเขียวของอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม การดึงการลงทุนเข้ามาในประเทศจำนวนมากต้องมองภาพรวมว่าประเทศได้อะไร มองถึงการสร้างประโยชน์ไปสู่ภาคส่วนอื่น ซึ่งที่ผ่านมาไทยหารือยุทธ์ศาสตร์และกลยุทธ์ไปไกลมาก แต่ยังติดกับดักการลงมือปฏิบัติ และไม่มีการติดตามให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม