posttoday

ครัวเรือนไทย 38% มีแผนจัดปาร์ตี้ปีใหม่ ที่เหลือห่วงค่าใช้จ่ายและกลัวโควิด

12 ธันวาคม 2565

จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ปีนี้ครัวเรือน 38% มีแผนจัดปาร์ตี้ปีใหม่ ที่เหลือยังกังวลค่าใช้จ่ายและไม่วางใจโควิด-19 ระบาด ยังระบุอีกว่า 55% มีโปรแกรมท่องเที่ยวต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่ ส่วนดัชนี KR-ECI ในเดือนพ.ย. เพิ่มสูงสุดในรอบ 14 เดือนอยู่ ที่ 35.0

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยทำการสำรวจเกี่ยวกับแผนการสังสรรค์และท่องเที่ยวของครัวเรือนในช่วงสิ้นปี 2565 ด้วยมองว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีนี้ที่ได้คลี่คลายลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยพบว่า ในปีนี้ครัวเรือน 38% มีแผนที่จะจัดงานสังสรรค์กับเพื่อน ๆ/ ครอบครัว  ขณะที่ 23% ยังไม่มีแผนใด ๆ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่แล้ว และอีก 22% ยังไม่มีแผนเนื่องจากยังไม่ไว้วางใจต่อสถานการณ์โควิด-19 

 

นอกจากนี้ พบว่า 55% ของครัวเรือนระบุว่ามีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยว จะเป็นเป็นการท่องเที่ยวในจังหวัดอื่น ๆ ภายในประเทศ 78% ขณะที่อีก 22% คาดว่าจะท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีจะเพิ่มขึ้น 6.8% YoY

 

ขณะที่เมื่อสอบถามถึงคาดการณ์ต่อค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2565 พบว่า 54% ของครัวเรือนคาดการณ์ว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งแบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายในส่วนค่ากินเลี้ยงสังสรรค์ (38%) ค่าซื้อของขวัญจับฉลาก (26%) ค่าทำบุญ (18%) ค่าการเดินทางท่องเที่ยว (17%) และอื่น ๆ อาทิ การให้เงิน (1%) 

 

ครัวเรือนไทย 38% มีแผนจัดปาร์ตี้ปีใหม่ ที่เหลือห่วงค่าใช้จ่ายและกลัวโควิด

 

สำหรับการสำรวจดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือน (KR-ECI) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2565 นั้น พบว่าได้ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 14 เดือน แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 โดยในเดือนพฤศจิกายนดัชนีขึ้นไปอยู่ที่ 35.0 จาก 33.8 ในเดือนต.ค. 65 และดัชนี KR-ECI ใน 3 เดือนข้างหน้าก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันอยู่ที่ 36.4 จาก 35.7 ในเดือนต.ค. 65 

 

ผลจากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าครัวเรือนมีความกังวลลดลงเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่าย สอดคล้องกับดัชนีเงินเฟ้อไทยเดือนพ.ย.65 ที่แผ่วลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่ 5.55% โดยราคาสินค้าในหลายรายการมีการปรับขึ้นในอัตราที่ชะลอลง เช่น ผักและผลไม้อย่างผักคะน้า ถั่วฝักยาว กระหล่ำปลี และข้าว เป็นต้น

 

นอกจากนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศอย่างน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์เดือนต.ค.ได้ปรับลดลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ประเทศไทยยังคงมีการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 35 บาทเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน เช่นเดียวกับค่าไฟฟ้าที่ขณะนี้อยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วยถึงเดือนธ.ค. 65 ก็มีแนวโน้มที่อาจถูกตรึงไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า 

 

รวมถึง การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว (ณ 4 ธ.ค.65 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาไทยแล้วกว่า 9.09 ล้านคน และสร้างรายได้ให้กับไทยกว่า 3 แสนล้านบาท) หนุนให้การบริโภคและการจ้างงานในประเทศปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3/65 การจ้างงานของไทยขยายตัว 2.1%YoY รวมถึงชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ของภาคเอกชนก็ปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับก่อนแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ 46.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 

 

อย่างไรก็ดี ครัวเรือนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในระยะข้างหน้า สะท้อนผ่านดัชนีดังกล่าวที่ปรับลดเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า หรือมีความกังวลมากขึ้นนั่นเอง โดยมาจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเดือนและผลตอบแทน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว

 

ครัวเรือนไทย 38% มีแผนจัดปาร์ตี้ปีใหม่ ที่เหลือห่วงค่าใช้จ่ายและกลัวโควิด

 

อีกทั้งในระยะข้างหน้ายังมีแนวโน้มเผชิญปัจจัยที่ท้าทายสำคัญหลายประการจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงที่จะชะลอลง ซึ่งจะฉุดรั้งความต้องการสินค้าจากไทย เช่นเดียวกับปริมาณคำสั่งซื้อจากจีนที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง แม้จีนจะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด โดยการส่งออกไทยเดือนต.ค.65 เผชิญกับการหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน 

 

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าภาพรวมการส่งออกไทยปีนี้จะขยายตัวได้ต่ำกว่า 7.8%YoY ที่ประเมินไว้เดิม ซึ่งอาจกระทบต่อภาคการผลิตและการจ้างงานในประเทศ นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ารายได้เกษตรกรในปี 66 อาจหดตัวอยู่ที่ราว 0.8%YoY จากแรงกดดันด้านราคา

 

นับจากนี้ การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนยังมีเปราะบางจากที่ต้องเผชิญกับหลายปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะราคาพลังงานโลกที่แม้จะเริ่มลดลง แต่ก็ยังอาจผันผวนได้ อีกทั้งแนวโน้มเงินเฟ้อในประเทศอาจไม่ปรับลดลงมาได้เร็วท่ามกลางการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการมายังผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการลดการอุดหนุนราคาพลังงานของภาครัฐ  


ขณะที่เศรษฐกิจหลักของโลกอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคในช่วงปีหน้าซึ่งอาจมีผลกระทบต่อไปยังความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

 

นอกจากนี้ ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง. (โดยคาดว่าจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00% ปี 2566) อาจกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของภาคครัวเรือนจากแนวโน้มการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในกลุ่มลูกค้ารายย่อยของธนาคารต่าง ๆ แล้ว 

 

ทั้งนี้ คงต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นก่อนช่วงสิ้นปี เช่น มาตรการลดหย่อนทางภาษี มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งอาจต้องพิจารณาถึงความสอดคล้องของมาตรการกับกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติม