posttoday

ก้าวข้ามความผิดผลาด

12 กรกฎาคม 2554

หน้าต่างปรับแสง (Dimmable Windows) มีส่วนทำให้ Boeing 787 Dreamliner เป็น Wow! Aircraft

หน้าต่างปรับแสง (Dimmable Windows) มีส่วนทำให้ Boeing 787 Dreamliner เป็น Wow! Aircraft

โดย..ม.ล.อัจฉราพร ณ สงขลา

บริษัทสร้างเครื่องบินโดยสารต่างก็คิดวิธีการปิดหน้าต่างเครื่องบินจากส่วนแผงควบคุมส่วนกลางมานานแล้ว แต่ก็คิดไม่ออก ปัญหานี้เป็นปัญหาที่คาเครื่องบินมารุ่นแล้วรุ่นเล่า

เมื่อเครื่องบินออกมาใหม่รุ่นหนึ่ง พวกที่ทำงานบริการในเครื่องบินก็หวังว่าจะมีปรากฏการณ์แปลกใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่ก็เหลวทุกที...

สายการบินถือว่าปัญหาการปิดหน้าต่างเครื่องบินโดยสารเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความพึงพอใจผู้โดยสารของตนโดยตรง เพราะด้วยเรื่องซึ่งเห็นว่าเล็กน้อยนี้ส่งผลให้ผู้โดยสารไม่พอใจพนักงานที่ไปขอให้ปิดหน้าต่างขณะที่ตนเองกำลังหลับสนิท หรือไม่ก็ผู้โดยสารที่โดนแสงแดดส่องเข้าหน้า หรือนอนไม่หลับลุกขึ้นไปวิวาทกับผู้โดยสารที่ไม่ยอมปิดหน้าต่าง

สายการบินที่มีความอ่อนไหวกับความรู้สึกผู้โดยสาร เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ได้แจ้งปัญหานี้ไปยังผู้ผลิตเครื่องบินให้ทราบตลอดมา ทางสายการบินก็ทราบและให้ทาง R & D หาทางแก้ไขปัญหานี้ตลอดมาโดยมิได้เพิกเฉย

เพราะรู้ว่าอะไรที่ลูกค้าต้องการมากหรือต้องการอย่างยิ่ง...หากทำได้จะกลายเป็นจุดขายทันที

และในที่สุดเครื่องบิน Boeing 787 Dreamliner เป็นเครื่องบินแบบแรกที่แก้ไขปัญหานี้ได้

Boeing 787 Dreamliner นำเรื่องนวัตกรรมของหน้าต่างมาเป็นจุดขายอย่างครึกโครม โดยเรียกระบบหน้าต่างของตนว่าเป็น Dimmable Windows กล่าวกันว่าระบบนี้เป็นระบบคล้ายกับ Smart Glass ที่บรรดารถ VIP ใช้อยู่

Dimmable Windows จะทำให้เครื่องบินไม่ต้องติดตั้งม่านหน้าต่างหรือแผ่นเลื่อนปิดหน้าต่างเพื่อกั้นแสงสว่างไม่ให้เข้ามาในเครื่องบินอย่างที่เครื่องบินทั่วไปกำลังใช้อยู่อีกต่อไป ถือว่า Boeing 787 Dreamliner เกิดมาพร้อมกับการทิ้งระบบการปิดหน้าต่างแบบเก่าให้เป็นตำนานไปทันที

ก่อนอื่นขอเรียนว่าหน้าต่างห้องโดยสารของเครื่องบินไม่ได้ทำจากกระจก แต่เป็นวัสดุใส ทนการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้ดีมาก และมีความเหนียวมาก ไม่มีคำว่าแตกเด็ดขาด

เทคโนโลยีของ Dimmable Windows คือใช้แผ่นวัสดุใส 2 แผ่น ประกบแผ่น Gel ที่อยู่ตรงกลาง และแผ่น Gel ได้เชื่อมไปยังแผงควบคุมให้ Gel เกิดความใสหรือทึบได้

ด้วยเทคโนโลยีนี้เองทำให้หน้าต่างห้องโดยสารของเครื่องบิน Boeing 787 Dreamliner จึงไม่ต้องมีแผ่นเลื่อนปิดหน้าต่าง แต่จะใช้การกดสวิตช์ควบคุมให้ Gel ที่ถูกแผ่นใสประกบอยู่ให้สว่างหรือมืดทึบแทน

นี่เป็นเรื่องที่ Wow! จริงๆ ค่ะ

พวกพนักงานบริการบนเครื่องบินคงจะโล่งอก ไม่ต้องมากังวลใจในการพยายามข้ามผู้โดยสารที่นั่งหรือนอนอยู่ 3 ท่าน เพื่อเอื้อมเข้าไปปิดหน้าต่างอีกต่อไป

สวิตช์ปิดหน้าต่างของ Boeing 787 Dreamliner ติดตั้งอยู่ที่ริมหน้าต่างให้ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ตรงริมหน้าต่างกดให้สว่างหรือมืดได้ หรือหากผู้โดยสารตรงริมหน้าต่างนอนหลับโดยทิ้งหน้าต่างให้ใส ทำให้พระอาทิตย์ส่องแสงเข้ามาในห้องโดยสารสว่างโร่ พนักงานบริการอาจใช้ปฏิบัติการผ่านทางแผงควบคุมส่วนกลางไปยังหน้าต่างบานใดๆ ในครื่องบินก็ได้

การปิดหน้าต่างในเครื่องบินทั้งลำในยุคต่อไปนี้ จะทำให้ง่ายราวกับร่ายมนตร์หรือเสกคาถา ไม่ต้องตระเวนไปขอให้ผู้โดยสารช่วยกันปิดเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

เรื่องหน้าต่างของ Boeing 787 Dreamliner ไม่ได้เก๋ไก๋เพียงแค่นั้นค่ะท่านผู้อ่านขา แต่ขอให้ทราบกันทั่วไปว่าขนาดหน้าต่างของ Boeing 787 Dreamliner มีขนาดใหญ่กว่าหน้าต่างของเครื่องบินโดยสารรุ่นที่เรากำลังใช้กันอยู่ถึง 60% หรือใหญ่ขึ้นไปประมาณครึ่งเท่าของหน้าต่างเครื่องบินสมัยนี้เลยแหละค่ะ

ถามว่าเกิดอะไรขึ้น Boeing 787 Dreamliner จึงทำหน้าต่างเครื่องบินได้ใหญ่ขนาดนั้น ?

คำตอบก็คือวัสดุที่ใช้ทำลำตัว Boeing 787 Dreamliner เป็นวัสดุ Composite หรือวัสดุร่วม ซึ่งมีความแข็งแรงกว่าวัสดุ ซึ่งเคยใช้สร้างลำตัวเครื่องบินกันมา

ในตอนที่แล้วผู้เขียนได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุ Composite ว่ามีคุณสมบัติที่เบากว่าพวกอัลลอยมาก ทำให้ Boeing 787 Dreamliner มีน้ำหนักเบา ซึ่งจะช่วยให้เครื่องบินใช้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนน้อยลง ในขณะเดียวกัน วัสดุ Composite ยังมีความแข็งแรงมาก ทำให้ลำตัว Boeing 787 Dreamliner มีความแข็งแรงกว่าเครื่องบินรุ่นที่พวกเรากำลังใช้งานกันอยู่

การเจาะผิวเครื่องบินเพื่อทำหน้าต่างนั้น โดยความเป็นจริงแล้วทำให้เครื่องบินต้องสูญเสียความแกร่งไป เมื่อวัสดุที่ใช้สร้างลำตัวเครื่องบินที่ผ่านมามีความแกร่งอยู่ในระดับหนึ่ง เขาไม่อาจสร้างขนาดหน้าต่างเครื่องบินให้ใหญ่กว่านั้นได้ เพราะจะทำให้ลำตัวเครื่องบินแตกด้วยแรงต่างๆ ที่มามีผลกับเครื่องบิน

การนำวัสดุ Composite มาสร้าง Boeing 787 Dreamliner ทำให้ลำตัวเครื่องบินแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา ทำให้สามารถสร้างหน้าต่างห้องโดยสารเครื่องบินให้ใหญ่กว่าเดิมได้ และในทางจิตวิทยาแล้วการเดินทางโดยเครื่องบินนั้นเป็นการที่ผู้โดยสารถูกบังคับให้อยู่ในภาวะอึดอัด การออกแบบหน้าต่างให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจะช่วยผ่อนคลายบรรยากาศที่รู้สึกอึดอัดในห้องโดยสารได้อย่างมาก

สำหรับรูปโฉมของห้องโดยสารส่วนอื่นของ Boeing 787 Dreamliner ไม่ได้เปลี่ยนไปจาก Boeing 777 เท่าใดนัก โดยเฉพาะในเรื่องของเพดานห้องโดยสารนั้น ถือว่า Boeing 777 ได้พัฒนาไปไกลพอสมควร ในการที่ใช้แนวคิดออกแบบให้ที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะถูกดึงขึ้นไปเก็บในระดับเพดาน ซึ่งช่วยให้ห้องโดยสารดูโล่ง คลายความอึดอัดไปได้มาก

สิ่งที่ทำให้แปลกตาอีกอย่างหนึ่งคือ Boeing 787 Dreamliner ได้พัฒนาการให้แสงและสีในห้องโดยสารต่อจาก Boeing 777 เพราะหลังจากที่ได้ติดตั้งการเปลี่ยนแสงและสีไฟในห้องโดยสารให้กับ Boeing 777 แล้ว ได้รับความชื่นชมและ Wow! กันอย่างมาก แต่ก็ทำได้จำกัดเพียงไม่กี่สี

Boeing 787 Dreamliner ได้พัฒนาเรื่องนี้ต่อไป โดยให้ระบบการเปลี่ยนสีไฟในห้องโดยสารได้สีมากขึ้น อาจเรียกได้ว่าครบทุกสีในสเปกตรัมเลยทีเดียว

สำหรับบางคนซึ่งเป็นโรคที่อยู่ในที่แคบๆ ไม่ได้ ซึ่งในทางจิตวิทยาเรียกว่า Stenophobia ผู้เขียนคิดว่า Boeing 787 Dreamliner อาจทำให้ท่านเหล่านั้นเดินทางได้อย่างเป็นสุขและผ่อนคลายขึ้นได้มากขึ้น ในความเป็นจริงแล้วท่านที่มีความวิตกอย่างรุนแรงถึงขั้นที่เรียกว่า Phobia ยังมีอีกหลายอย่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าเห็นใจอย่างมาก ถ้าไม่จำเป็นแล้วพวกเขาจะไม่เดินทางด้วยเครื่องบินเด็ดขาด

เคยได้ยินลูกชายพูดให้ฟังว่า Dennis Bergkamp นักฟุตบอลอดีตศูนย์หน้าของทีม Arsenal กลัวการเดินทางด้วยเครื่องบินอย่างยิ่ง ไปแข่งที่ไหนๆ เพื่อนๆ ในทีมนั่งเครื่องบิน แต่ Dennis Bergkamp ต้องนั่งรถยนต์ไปล่วงหน้าทุกที

คนที่วิตกกับการเดินทางด้วยเครื่องบินยังอาจมีอาการโรคกลัวเมฆ (Nephophobia) โรคกลัวความเร็ว (Tachophobia) โรคกลัวเทคโนโลยี (Technophobia) หรือโรคกลัวการบิน (Pteromerhanophobia)

น่าเสียดายค่ะ หากการเป็นโรคที่มีอาการกลัวอย่างรุนแรงที่ว่ามาทำให้บางท่านไม่กล้าเดินทางกับ Boeing 787 Dreamliner

เท่ากับว่าเป็นการขาดโอกาสอันงดงามของชีวิตไปเลยทีเดียว  

 

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"