พละ 5 คาถาแห่งความสำเร็จ
สัปดาห์ที่แล้วได้คุยกันถึงคุณสมคิด
สัปดาห์ที่แล้วได้คุยกันถึงคุณสมคิด
โดย.สาธิต บวรสันติสุทธิ์
ลวางกูร สิ่งที่ผมได้จากการพิจารณา คือ คุณสมคิดประสบความสำเร็จได้ก็โดยการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในเรื่องเกี่ยวกับ “พละ 5 : กำลัง 5 อย่างของผู้นำ” ครับ
พละ 5 เป็นธรรมที่ทำให้บุคคลที่ปฏิบัติธรรมมีบุคลิกภาพของผู้นำ ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีสติปัญญาที่จะนำตนเองให้ยิ่งใหญ่ในกิจของตน ทำให้เกิดความมั่นคงแก่ชีวิต พละ 5 เมื่อฝึกดีแล้วจะเป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ในตัวของบุคคล มีรายละเอียดดังนี้ พละ 5 (ธรรมอันเป็นกำลังPower) 1.ศรัทธา (ความเชื่อConfidence) 2.วิริยะ (ความเพียรEnergy, Effort) 3.สติ (ความระลึกได้Mindfulness) 4.สมาธิ (ความตั้งจิตมั่นConcentration) 5.ปัญญา (ความรู้ทั่วชัดWisdom, Understanding)
มีบางคนได้เปรียบเทียบพละ 5 เหมือนม้าศึก 2 คู่ ดังนี้
nม้าศึกคู่แรก “ศรัทธาคู่กับปัญญา”
ถ้ามีปัญญาไม่มีศรัทธา ก็อาจก่อผลให้เป็นคนจับจด คือ คล้ายๆ รู้นิดรู้หน่อย ก็หยุด ทำนองความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด และหย่อนศรัทธาในศาสนา ก็จะทำให้จิตใจโน้มเอียงไปทางอกุศล ใช้ปัญญาเอาเปรียบสังคม เพื่อเป้าหมายของตนเอง เป็นอันตรายต่อสังคมไม่มากก็น้อย (เหมือนอย่างเรยานั่นไง)
ถ้ามีศรัทธาไม่มีปัญญา ก็จะเป็นคนงมงาย ถูกหลอกได้ง่าย ดังนั้นปัญญาและศรัทธาจึงต้องเป็นม้าศึกที่อยู่คู่กัน และทัดเทียมกัน
nม้าคู่ที่สอง “วิริยะกับสมาธิ”
ถ้ามีวิริยะ ไม่มีสมาธิ ก็เป็นความฟุ้งซ่าน จะทำอะไรก็สับสน ปนเป ไร้ทิศทาง ไม่ Focus ทำมากแต่ได้ผลน้อย เพราะคอยห่วงแต่จะทำอะไรคราวละหลายๆ เรื่อง ขณะทำเรื่องนี้อยู่ จะห่วงเรื่องโน้น ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องที่ควรทำ
ถ้ามีสมาธิ ไม่มีวิริยะก็เป็นความเกียจคร้าน เฉื่อยชา เซื่องซึมเกินไปจนไม่มีพลังที่จะทำงานให้สำเร็จ
ดังนั้น ม้าศึก วิริยะ จึงควรต้องอยู่กับสมาธิ
ม้าศึกทั้ง 4 ตัวนี้ จะต้องมีกำลังฝีเท้าทัดเทียมกัน จึงจะสามารถลากรถศึก โดยมีสติเป็นขุนศึกผู้กุมสายบังเหียน บังคับม้าไปสู่เป้าหมาย ตลอดจนคอยควบคุมม้าศึกทั้ง 4 ตอนวิ่งตรง วิ่งเข้าโค้งได้อย่างเหมาะสม และคอยป้องกันมิให้เสียสมดุลม้าศึก จนพารถศึกคว่ำออกนอกเส้นทาง นั่นหมายถึงความล้มเหลวในการงาน
ข้อสังเกต เมื่อคนเกิดศรัทธาในงาน ก็จะพอใจ (ฉันทะ) ในงาน เกิดความรู้สึกอยากทำงาน เมื่อไม่รู้สึกเบื่องาน ก็จะเกิดขยันหมั่นเพียรวิริยะ เมื่อเกิดทั้งความชอบในงาน และทำงานมาก ก็จะเกิดใจจดใจจ่อในงาน เกิดสมาธิแน่วแน่ เมื่อเกิดสมาธิในงาน ก็เกิดการเอาใจใส่งาน ไตร่ตรองงาน ต้องการให้งานสัมฤทธิผล ก็จะเกิดปัญญาขึ้น และทุกขั้นตอนจะต้องมีสติเพื่อให้รู้สถานะปัจจุบันว่าดีหรือไม่ดี ถูกทางหรือหลงทาง ที่คอยกำกับศรัทธาว่าเชื่อถูกต้อง ขยันถูกทางเหมาะสม ใจจดจ่อกับงานที่สัมพันธ์กับเป้าหมาย ตลอดจนกำกับปัญญาว่าคิดถูกต้อง
แต่พละ 5 ก็มีคู่ปรับอยู่เหมือนกันครับ คู่ปรับเหล่านี้เป็นสิ่งบั่นทอนพลังใจทั้ง 5 ได้แก่ 1.ความสิ้นศรัทธา หรือความไร้ศรัทธา เช่น หมดศรัทธาในสิ่งที่นับถือ คนที่นับถือ ครูบาอาจารย์ หรือแม้แต่หมดศรัทธาในตัวเอง หากหมดสิ้นเสียตั้งแต่ตรงนี้ ชีวิตก็พังทันที เปรียบประดุจกองทัพที่สูญสิ้นผู้นำทัพ หรือกองทัพที่ผู้นำทัพประกาศยอมแพ้ 2.ความเกียจคร้าน เป็นคู่ปรับของวิริยะ (ความเพียร) เปรียบเสมือนกองทัพที่มีทหารก็เหมือนไม่มี ต่อให้ทหารเก่งแค่ไหน หากไม่สู้ ก็ไม่มีทางชนะ 3.ความประมาท เป็นคู่ปรับของสติ คนเราจะเผลอสติก็เพราะประมาท ไม่ว่าจะเป็นประมาทในวันเวลา ประมาทในวัย ประมาทในเรื่องฐานะความเป็นอยู่ เป็นต้น ซึ่งความประมาทนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า เป็นทางแห่งความตายเลยทีเดียว เปรียบเสมือนกองทัพที่ไม่จัดหน่วยลาดตระเวนคอยหาข่าวใดๆ เลย ทำให้ถูกลอบโจมตีแตกพ่ายได้ง่าย 4.ความฟุ้งซ่าน เป็นคู่ปรับของสมาธิ ความฟุ้งซ่านทำให้ใจกระสับกระส่าย ไม่สงบนิ่ง ตั้งมั่น พลังสมาธิก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เปรียบเสมือนกองทัพที่ไม่ฝึกทหารกองหน้าไว้รับมือศัตรู เมื่อบุกจู่โจมสายฟ้าแลบก็พังทันที 5.ความหลงงมงาย เป็นคู่ปรับสำคัญของปัญญา เพราะคอยบดบังสติปัญญาความคิดในทางที่ถูกที่ควรให้ด้อยถอยลง เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมไม่อาจขบคิดพิจารณาใคร่ครวญที่จะแก้ไขปัญหาชีวิตได้ เปรียบเสมือนกองทัพที่ไร้กุนซือ ที่ปรึกษาที่ดี ย่อมไม่มีวิธีพลิกแพลงเอาชนะศึก ที่สุดก็แพ้พ่าย


