' ตลาดน้ำอัมพวา ' การตลาดคู่ชุมชน...อยู่ยั่งยืน
“ตลาดน้ำอัมพวา” จ.สมุทรสงคราม เชื่อว่ามีน้อยรายที่จะไม่รู้จัก ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่แฝงอยู่ในชุมชนเล็กๆ
“ตลาดน้ำอัมพวา” จ.สมุทรสงคราม เชื่อว่ามีน้อยรายที่จะไม่รู้จัก ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่แฝงอยู่ในชุมชนเล็กๆ
โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล
“ตลาดน้ำอัมพวา” จ.สมุทรสงคราม เชื่อว่ามีน้อยรายที่จะไม่รู้จัก ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่แฝงอยู่ในชุมชนเล็กๆ ผ่านกระบวนการบริหารจัดการและวางแผนด้านการตลาดมาอย่างดีเลิศ
ความสำเร็จของตลาดน้ำอัมพวาวันนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากมือบริหารและนักพัฒนาชุมชนอย่าง ร.ท.พัชโรดม อุนสุวรรณ นายกเทศมนตรี ตำบลอัมพวา ที่กำหนดส่วนผสมทางการตลาดจากภูมิปัญญาและคุณค่าในท้องถิ่นมาช่วยผลักดันให้ตลาดน้ำอัมพวาในปัจจุบันเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวปลายทางสำคัญในช่วงทุกวันหยุดสุดสัปดาห์
ร.ท.พัชโรดม อุนสุวรรณ นายกเทศมนตรีตำบลอัมพวา กล่าวว่า ตลาดน้ำอัมพวาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2547 จากเดิมที่ ต.อัมพวา มีฐานประชากรเพียง 1 หมื่นคน และได้อพยพไปหาแหล่งงานต่างถิ่นอย่างกรุงเทพฯ ราว 5,000 คน ทำให้เกิดแนวคิดต้องการพัฒนาชุมชนอัมพวาให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจ+สังคม+สิ่งแวดล้อม”
พร้อมกันนี้ยังใช้หลักการตลาด “โกลบอล แอส โลคัล” เพื่อสร้างความได้เปรียบจากจุดขายของอัมพวา คือ มีคุณค่าด้านประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม พร้อมใช้เรื่องการท่องเที่ยวมาช่วยด้านเศรษฐกิจ โดยการให้ชุมชนเป็นเจ้าของที่แตกต่างไปจากแหล่งท่องเที่ยวอื่น
นอกจากนี้ “อัมพวา” ยังเป็นเมือง 3 น้ำ คือ น้ำทะเล น้ำจืด และน้ำกร่อย แถมยังใช้ปฏิทินทางจันทรคติในชีวิตประจำวัน ต่างจากทั่วไปที่ยึดปฏิทินทางสุริยคติ ถือเป็นการเอา “คุณค่า” ที่มีอยู่มาสร้างใหม่ เพื่อใช้ในการท่องเที่ยวด้วยการเลือกคนในชุมชนเป็นเจ้าของเอง เพื่อสร้างความยั่งยืนและหวงแหนถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเองไปในตัว
จากจุดเริ่มต้นตลาดน้ำอัมพวามีเรือพ่อค้าแม่ค้าราว 40 ลำ แต่โชคดีจากภาวะความเป็นผู้นำ ด้วยเป็นนายกเทศมนตรีฯ ทำให้สามารถจัดหางบประมาณมาพัฒนาได้ รวมถึงการดึงปัจจัยบวกด้านอื่นมาเสริม เช่น ความดั้งเดิมของตลาดน้ำที่มีอยู่แล้ว คือ อัมพวาไม่ต้องขุดคลอง ไม่ต้องสอนคนอัมพวาพายเรือ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นทุนทางสังคมหรือภูมิสังคมในแต่ละถิ่นที่เป็นสิ่งสำคัญของ “กระบวนการคิด”
นอกจากนี้ อัมพวายังหาจุดขาย คือ ความเป็นตลาดน้ำยามเย็น เพื่อสร้างความแตกต่างไปจากตลาดน้ำดำเนินสะดวกที่เป็นตลาดน้ำยามเช้าและอยู่ห่างจากอัมพวาไปเพียง 15 กม. ที่มองว่าเป็นจุดอ่อน ทำให้ตลาดน้ำอัมพวามองเห็นเป็นโอกาสในการทำตลาดท่องเที่ยว บวกกับสภาพภูมิอากาศประเทศไทยที่เป็น “คูล ดาวน์” จะทำให้คนหรือลูกค้าออกมาจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้นในสภาพอากาศที่มีความเย็น
ขณะที่ฐานกลุ่มเป้าหมาย หรือลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่วางไว้ คือ คนกรุงเทพฯ สัดส่วน 10% ของประชากร 10 ล้านคน โดยตลาดน้ำอัมพวาวางเป้าหมายนักท่องเที่ยว หรือลูกค้าคนกรุงเทพฯ ที่จะเดินทางมาพักผ่อนเอาไว้ปีละ 1 ล้านคน จากกิจกรรมที่เปิดให้บริการวันศุกร์อาทิตย์ หรือ 12 วันต่อเดือน ที่ปัจจุบันทำให้คนอัมพวารักถิ่นฐาน และมีอาชีพทำกินในบ้านของตัวเอง โดยในวันปกติจันทร์พฤหัสบดี ชาวบ้านก็จะกลับไปทำสวน หรืออาชีพดั้งเดิมปกติของตัวเอง
“ผมเชื่อว่าคนกรุงเทพฯ ที่มาตลาดน้ำอัมพวาคงไม่อยากมากินบะหมี่เกี๊ยวแฟรนไชส์ทั่วไป แต่จะมากินบะหมี่อัมพวา จากการพัฒนาของคนในชุมชนตลาดน้ำอัมพวาที่ดึงภูมิปัญญาท้องถิ่นขึ้นมาใช้” นายกเทศมนตรีตำบลอัมพวา กล่าว
ด้านความกังวลต่อกลุ่มทุนต่างถิ่นที่จะเข้าไปขยายธุรกิจในตำบลอัมพวานั้น เชื่อว่าจะถูกควบคุมได้เองโดยอัตโนมัติ จากฐานประชากร 1 หมื่นคน ที่อพยพไปทำงานต่างถิ่นอย่างในกรุงเทพฯ ราว 5,000 คน ที่จะกลับคืนถิ่นฐานเพื่อดูแลกิจการในชุมชนของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ เป็นต้น
จากการกำหนดยุทธศาสตร์กิจกรรมในตลาดน้ำอัมพวา 3 วันต่อสัปดาห์ หรือ 12 วันต่อเดือน เชื่อว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนนอกไม่กล้าเข้ามาลงทุน ผ่านระบบสินเชื่อเพื่อการลงทุนธุรกิจ จากสถาบันการเงินที่อาจมีรายรับไม่คุ้มค่ากับเงินลงทุนที่ใช้ไป
นอกจากนี้ จากเด็กอีกหนึ่งรุ่นที่ไปเติบโตเป็นคนรุ่นใหม่ในกรุงเทพฯ ก็เชื่อว่าจะมีการเอานวัตกรรมกลับไปดูแลกิจการในชุมชนอัมพวาได้ต่อไป เพื่อรักษาอัตลักษณ์ของความเป็นตลาดน้ำอัมพวาเอาไว้ ทั้งด้านการอนุรักษ์ และพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนควบคู่กันไปในที่สุด


