ส.อ.ท.จี้ตรวจสอบสาเหตุแท้จริง ค่าเงินบาทแข็ง กระทบส่งออก-ท่องเที่ยว
ชี้มาตรการของ ธปท.เป็นเพียงมาตรการแรก แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งหาสาเหตุที่แท้จริง ชี้เป้ายอดส่งออกทองคำไปกัมพูชายังสูง หวั่นไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงินทุนเทา
KEY
POINTS
- ชี้มาตรการของ ธปท. คุมเข้มธุรกรรมทองคำเป็นเพียงมาตรการแรก แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบหาสาเหตุแท้จริงของค่าเงินบาทแข็ง
- ตั้งข้อสังเกตยอดส่งออกทองคำแท่งไปกัมพูชาพุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ หวั่นไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของกลุ่มทุนสีเทาและธุรกิจสแกมเมอร์
- ย้ำค่าเงินบาทที่แข็งค่ารุนแรงส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวของประเทศ จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาก่อนเศรษฐกิจเสียหาย
จากกรณีที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแลค่าเงินบาทและคุมเข้มธุรกรรมการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อเงินบาทของธุรกิจทองคำ โดยได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบเอกสารในธุรกรรมการขายเงินตราต่างประเทศเพื่อแลกซื้อเงินบาทของธุรกิจทองคำอย่างเข้มงวด และอยู่ระหว่างการขอให้ออกประกาศกระทรวงการคลังเพื่อให้อำนาจ ธปท. ในการเรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายเงินตราต่างประเทศจากผู้ค้าทองคำรายใหญ่ รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับธุรกรรมการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อเงินบาท นั้น
ต่อเรื่องดังกล่าว เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้ความเห็นว่า มาตรการดังกล่าวคงเป็นเพียง 1 ในมาตรการเท่านั้น เพราะสิ่งที่น่ากลัวคือ เงินเทา ธุรกิจสแกมเมอร์ อาศัยประเทศไทยเป็นแหล่งฟอกเงิน ดังนั้น ธปท. และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งเข้าไปตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุที่จริง
ค่าเงินบาทแข็งค่ารุนแรง กระทบส่งออก-ท่องเที่ยว
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ค่าเงินบาทไทย กำลังเผชิญกับการแข็งค่าขึ้นอย่างมาก โดยปัจจุบันแข็งค่าขึ้นกว่า 8% ซึ่งถือเป็นการแข็งค่ามากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้เคยแข็งค่าขึ้น 5.77% ในเดือนก่อน ซึ่ง ธปท.เองก็ออกมายอมรับว่า การแข็งค่าในระดับนี้ ไม่ส่งผลดีต่อภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าค่าเงินด่องของเวียดนามแข็งค่าขึ้น 3% กว่า
ในขณะที่เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้นประมาณ 7% เศษ ซึ่งยังตามหลังการแข็งค่าของเงินบาทไทย ล่าสุด ค่าเงินบาทที่แข็งค่าทันที 8% กว่า ซึ่งได้รับอิทธิพลทางจิตวิทยาจากการที่สหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงประมาณ 0.25 ทำให้ค่าเงินบาทของไทยที่ขี้ตกใจอยู่แล้ว แข็งค่าขึ้นมาอีก
เร่งตรวจสอบที่มาของปัญหา ค่าเงินบาทแข็ง
ดังนั้น เพื่อบรรเทาความกังวลเรื่องค่าเงินบาท ธปท.จึงได้ออกมาตรการสั่งการให้ธนาคารต่าง ๆ ตรวจสอบเอกสารการซื้อขายดอลลาร์ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทองคำ มาตรการดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการออกมาอย่างตรงจุดเพื่อช่วยแก้ปัญหา โดยครอบคลุมถึงการควบคุมรายละเอียดบัญชี การโอนเงิน และการซื้อขายทอง
อย่างไรก็ตาม ประธาน ส.อ.ท.ระบุว่า จุดเริ่มต้นของการตรวจสอบธุรกรรมทองคำมาจากการที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ตั้งข้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับค่าเงินบาทตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และได้ส่งคำถามไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทย
ความผิดปกติของการส่งออกทองคำแท่งไปกัมพูชา
จากการตรวจสอบรายละเอียดในภาคการส่งออก หลังเกิดการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าขายชายแดน กกร. ได้ตรวจสอบรายการสินค้าส่งออก 10 อันดับแรกจากไทยไปกัมพูชา และพบว่าหมวดเครื่องประดับและอัญมณีเป็นรายการส่งออกอันดับ 3 แต่เมื่อเจาะลึกกลับพบว่าสินค้าในหมวดนี้ ไม่ใช่เครื่องประดับหรืออัญมณี แต่เป็นทองแท่งล้วน ๆ
ยอดการส่งออกทองคำแท่งไปยังกัมพูชามีอัตราที่พุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• ปี 2566: ยอดส่งออกอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท
• ปี 2567: ยอดพุ่งขึ้นเกือบ 10 เท่า ไปอยู่ที่ประมาณ 105,000 ล้านบาท
• ปี 2568 (7 เดือนแรก จนถึงวันที่มีการปะทะ): ยอดส่งออกสะสมอยู่ที่ 71,000 ล้านบาท
ด้วยยอดที่สูงมากนี้ ทำให้กัมพูชากลายเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ที่ไทยส่งออกทองคำแท่งไปมากที่สุด โดยมีปริมาณตามหลังสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นอันดับ 1 เพียงเล็กน้อย
การส่งออกที่ผิดปกติเช่นนี้ นำมาซึ่งคำถามว่าจำนวนเงินที่ใช้ซื้อทองคำมีที่มาที่ไปถูกต้องหรือไม่ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วยหรือไม่
หวั่นใช้ไทยเป็นแหล่งฟอกเงินเทาสแกมเมอร์
แม้ว่ามาตรการควบคุมที่ดำเนินการไปจะช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทในระยะสั้น (จาก 7% เศษ เหลือ 5% กว่า) แต่ค่าเงินบาทก็ได้กลับมาแข็งค่าทะลุ 8% กว่าอีกครั้ง กกร. ชี้ว่ามาตรการที่ออกมาเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการเท่านั้น
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในขณะนี้ คือปัญหา เงินเทา และ ธุรกิจสแกมเมอร์ ที่อาจอาศัยประเทศไทยเป็นแหล่งในการฟอกเงิน เนื่องจากไม่ทราบทิศทางการเข้ามาของเงินเหล่านี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการแข็งค่าของเงินบาท


