SCB EIC ฝากรัฐบาลใหม่เร่งฟื้นเชื่อมั่น-กระตุ้น-ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
SCB EIC แนะรัฐบาลใหม่เน้นนโยบายเศรษฐกิจ 3 ด้าน ฟื้นความเชื่อมั่น กระตุ้นเศรษฐกิจ วางรากฐานของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ช่วยรับมือความท้าทายรอบด้านทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ
KEY
POINTS
- SCB EIC แนะรัฐบาลใหม่เน้นนโยบายเศรษฐกิจ 3 ด้าน ฟื้นความเชื่อมั่น กระตุ้นเศรษฐกิจ วางรากฐานของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ช่วยรับมือความท้าทายรอบด้านทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ
- ประเมิน GDP ไทย ครึ่งหลังปี 68 โตไม่ถึง 1% รวมทั้งปี 68 โต 1.8% ก่อนชะลอลงเหลือ 1.5% ในปี 69
- คาด กนง. ลดดอกเบี้ย 0.25% อีก 1 ครั้ง ในเดือน ธ.ค.68 เหลือ 1.25% และลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในต้นปี 2569 เหลือ 1%
- มองเศรษฐกิจโลกโตชะลอลงเหลือ 2.5% ในปี 2568 และ 2.4% ในปี 2569 จากผลนโยบาย Trump กดดันการค้าการลงทุนโลก
รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบายสำคัญที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ เพื่อคืนความเชื่อมั่นและความสุขให้กับพี่น้องคนไทย ประกอบด้วย ด้านเศรษฐกิจ, ด้านความมั่นคง, ด้านสังคม, ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านการบริหารภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย เช่น สร้างรายได้ลดรายจ่าย, แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง, ฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว, เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า, ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ และเร่งรัดการปฏิรูปกฎหมาย กฎระเบียบ
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยว่า รัฐบาลใหม่ แม้จะมีระยะสั้นเพียง 4 เดือน แต่ภารกิจสำคัญที่ควรเน้นนโยบายเศรษฐกิจ 3 ด้าน (3S) ได้แก่
1.Stabilize เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้ฟื้นคืนมาหลังเศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ โดยต้องเน้นการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ทำได้จริง ควบคู่กับการสื่อสารเชิงรุกและกระบวนการผลักดันที่มีประสิทธิภาพ
2.Stimulate เพื่อกระตุ้นอุปสงค์เศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง โดยเน้นมาตรการการคลังที่ตรงจุด รวดเร็วและชั่วคราว ตลอดจนการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับเศรษฐกิจ ควบคู่กับผ่อนคลายภาวะการเงินที่ตึงตัว ผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบาย การใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อของ SME และการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนกระทบต่อภาคส่งออก
3.Structural reform ยกระดับนโยบายภาครัฐเพื่อช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจ ผ่านการแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ การจัดหาตลาดส่งออกใหม่ และการผลักดันการลงทุนด้าน Green transformation รวมไปถึงการวางรากฐานของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว ผ่านการวางกรอบนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมสำหรับอนาคตของประเทศ การพัฒนาทักษะของแรงงาน และการปฏิรูปการคลัง
ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับความท้าทายรอบด้านทั้งภายในประเทศ และภายนอกประเทศ ที่จะเข้ากระทบต่อเศรษฐกิจไทย
สำหรับความท้าทายภายในประเทศ ประกอบด้วย
ธุรกิจรายได้ไม่ฟื้น กำไรต่ำ : ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ยังเปราะบาง รายได้ธุรกิจฟื้นตัวแบบ K-shape กว้างขึ้นโดย รายได้ SMEs เฉลี่ยยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด ขณะที่สัดส่วนรายได้ธุรกิจขนาดใหญ่ Top 1% ขยายตัวต่อเนื่องและมีสัดส่วนรายได้กว่า 76% ของรายได้รวมของภาคธุรกิจ สะท้อนการแข่งขันของ SMEs ที่ยากขึ้น ขณะที่สัดส่วนบริษัทผีดิบ (ธุรกิจที่กำไรไม่เพียงพอ ต่อการชำระดอกเบี้ย ติดต่อ 3 ปี) กลับมาเร่งตัวในปี 2567 โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs
ขณะที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แม้รายได้ฟื้นตัวดีหลังโควิด แต่ความสามารถทำกำไรลดลงต่อเนื่องและฟื้นไม่เท่ากันในรายสาขา ธุรกิจอุตสาหกรรมยังเผชิญแรงกดดันด้านต้นทุนและความสามารถทำกำไรที่ยังไม่กลับสู่ระดับเดิม
ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวเล็กน้อยในปีนี้และปีหน้า จากการนำเข้าเครื่องจักรและสินค้าทุนที่มีต่อเนื่องในระยะข้างหน้าส่วนใหญ่จากการลงทุนของธุรกิจต่างชาติในอุตสาหกรรม Electronics EV และ Data center แม้อาจจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นไม่มากนัก เนื่องจาก Import content สูง แต่จะวางรากฐานของอุตสาหกรรม New S Curve ให้กับประเทศ
ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ รายได้ลดลง : ตลาดแรงงานไทยเปราะบางมากขึ้นตั้งแต่ต้นปีนี้ เห็นได้จากอัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมและอัตราการว่างงานของแรงงานจบใหม่ที่เร่งตัวขึ้น ชั่วโมงการทำงานลดลงทุกสาขา รวมถึงสัดส่วนผู้ทำงานต่ำระดับสูงขึ้น กดดันการฟื้นตัวของรายได้ในระยะข้างหน้าท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม แนวโน้มการจ้างงานในกลุ่มธุรกิจเสี่ยงมาก-ปานกลางเริ่มปรับลดลงตั้งแต่ต้นปี สอดคล้องกับข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติที่พบว่า รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ลดลง
ภาคการคลังมีข้อจำกัด : ในระยะสั้นเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจะพยุงการบริโภคได้บ้าง แต่ผลต่อเศรษฐกิจไม่มากเพราะวงเงินไม่สูง หากเกิดการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า ความไม่แน่นอนทางการเมืองจะกระทบกระบวนการจัดทำ พ.ร.บ. งบฯ ปี 2570 ส่งผลให้การเบิกจ่ายล่าช้า
นอกจากนี้ หนี้สาธารณะใกล้ชนเพดาน 70% ในไม่ช้า เนื่องจากรัฐบาลลดการขาดดุลได้ยาก ภาระดอกเบี้ยเงินกู้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและรายจ่ายสวัสดิการสูงวัยปรับลดยาก รวมถึงแนวโน้มรายได้รัฐบาลต่ำมานาน เสถียรภาพการคลังในระยะปานกลางที่อาจแย่ลงเช่นนี้เป็นความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางกรอบ ออกมาตรการ และสื่อสารแผนปฏิรูปการคลังที่ชัดเจนเพื่อลดความเสี่ยงนี้ลง
ด้านความท้าทายภายนอกประเทศ ประกอบด้วย
ส่งออกชะลอ : ส่งออกไทยขยายตัวดีช่วง 8 เดือนแรกของปี จากการเร่ง Front-loading ก่อนสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นและการส่งออกทองคำที่เร่งสูงตั้งแต่ต้นปี โดย SCB EIC มองส่งออกไทยจะหดตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้และหดตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพราะ Front-loading ไปมากแล้ว และยังต้องเจอกำแพงภาษีนำเข้าตลาดสหรัฐฯ หลายรูปแบบที่มีความซับซ้อนและไม่แน่นอนสูง ในภาวะอุปสงค์โลกที่จะชะลอตัวลงด้วย
บาทแข็งกดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม : ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นเร็วในปีนี้กว่า 8% แข็งสุดในรอบ 4 ปี และแข็งนำคู่แข่งในภูมิภาค ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินบาทเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งสำคัญแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่วิกฤติ 2540 โดยมีสาเหตุทั้งจากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและจากปัจจัยภายในของไทย ทั้งจากการส่งออกทองคำที่พุ่งสูงขึ้นมากตามราคาทองคำที่สูงขึ้นเร็ว การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดพันธบัตร
การแข็งค่าของเงินบาทมากเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำเงินบาทจึงอาจกลายเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม (Shock amplifier) กระทบความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกซ้ำเติมผลกระทบภาษีทรัมป์ รวมถึงกดดันการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวต่างชาติยังต่ำกว่าปีก่อนมาก แต่เริ่มมีสัญญาณพ้นจุดต่ำสุด : นักท่องเที่ยวจีนยังต่ำกว่าปีที่แล้วแต่เริ่มหดตัวน้อยลง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีแนวโน้มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันดึงดูดนักท่องเที่ยวในเอเชีย ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักของไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับหลายประเทศ
นอกจากนี้ เงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องเสี่ยงจะทำให้ไทยเสียเปรียบการแข่งขัน ทั้งกับประเทศปลายทางอื่น โดยเฉพาะเวียดนามและจีนที่ค่าเงินอ่อนค่ากว่าประเทศอื่นในปีนี้ และการดึงดูดนักท่องเที่ยวอินเดีย, สหรัฐฯ และจีนที่สกุลเงินอ่อนค่ากว่าเงินบาท ทำให้การฟื้นตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะข้างหน้ายังมีความท้าทาย
“ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเร็วในปีนี้กว่า 8% แข็งสุดในรอบ 4 ปี และแข็งนำคู่แข่งในภูมิภาค เพิ่มแรงกดดันให้กับการส่งออกและการท่องเที่ยว ขณะที่เวียดนาม อ่อนค่าลง 3% เราเสียเปรียบ 10-11% แล้ว” ดร.ยรรยง กล่าว
จากความท้าทายทั้งภายในและภายนอกประเทศดังกล่าว SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี2568 อาจเติบโตเฉลี่ยไม่ถึง 1% โดยคาดว่าในไตรมาส 3/2568 จะเติบโต 0.9% และไตรมาส 4/2568 เติบโต 0.5% โดยยังมีความเสี่ยง Technical recession เมื่อรวมกับเศรษฐกิจไทย ในครึ่งปีแรก เติบโต 3% ส่งผลให้ปี 2568 เศรษฐกิจไทยเติบโต 1.8% และชะลอลงเหลือ 1.5% ในปี 2569
“โครงการคนละครึ่ง มีทั้งมิติของกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดค่าใช้จ่าย เป็นโครงการที่ดี แต่คาดว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจไม่ถึง 0.1% ของ GDP แต่การมีโครงการคนละครึ่งออกมาดีกว่าไม่มีแน่นอน มาตรการที่ดี คือใช้ได้จริง เร็ว และทันการณ์” ดร.ยรรยง กล่าว
ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัว ต้องมีนโยบายการเงินมารองรับ โดย SCB EIC ประเมินคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ย 0.25% อีก 1 ครั้ง ในเดือน ธ.ค.2568 เหลือ 1.25% และลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในต้นปี 2569 เหลือ 1% เพื่อผ่อนคลายภาวะการเงิน ช่วยลดภาระหนี้และความเสี่ยงเครดิต นอกจากนี้ มาตรการที่ต้องมาเสริม คือ การค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ รวมไปถึงนโยบายการคลัง
ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย วิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) กล่าวว่า SCB EIC มองเศรษฐกิจโลกโตชะลอลงเหลือ 2.5% ในปี 2568 และ 2.4% ในปี 2569 จากผลนโยบาย Trump กดดันการค้าการลงทุนโลก แต่ในระยะต่อไปจะมีแรงขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล AI และพลังงานสะอาด เร่งเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ และกระแส Friendshoring, Reshoring และ Nearshoring
นางสาวปราณิดา ศยามานนท์ ผู้อำนวยการ ผู้บริหารฝ่าย Industry Analysis ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) กล่าวว่า ไทยต้องเร่งโอกาสดึงดูด FDI อย่างมีกลยุทธ์ท่ามกลางโลกแบ่งขั้ว โดย FDI ไทยยังมีโอกาสขยายตัว โดยเฉพาะกลุ่ม Data center และ Future food ขณะที่อุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ยังเติบโตได้ แต่เผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าโลกและการไหลกลับของเงินลงทุนไป USMCA, ญี่ปุ่น และ EU ที่ได้เปรียบข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ
สำหรับความท้าทายด้านการแข่งขันและเงื่อนไขการลงทุนของไทยยังมีมากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการไทยต้องยกระดับมาตรฐานการผลิต-ทักษะแรงงาน-เชื่อม Supply chain โลก ขณะที่ภาครัฐต้องเร่งปรับกฎระเบียบ-ลดอุปสรรคขั้นตอน-สร้าง Ecosystem เอื้อการลงทุน


