“ภาษีสหรัฐ-กฎคาร์บอนยุโรป” แรงกดดันการค้า ส่งออกไทยหนีไม่พ้น
ภาษีทรัมป์ไม่ใช่วิกฤตเดียว! ยังมีมาตรการคาร์บอนยุโรปอย่าง CBAM แรงกดดันที่ไทยหนีไม่พ้น ปี 2569 ส่งออกต้องเร่งปรับตัวอย่างหนัก
ภาษีทรัมป์ไม่ใช่วิกฤตเดียว! ยังมีมาตรการคาร์บอนยุโรปอย่าง CBAM แรงกดดันที่ไทยหนีไม่พ้น ปี 2569 ส่งออกต้องเร่งปรับตัวอย่างหนัก ใครปล่อยคาร์บอนเยอะ เท่ากับเสียภาษีเพิ่ม ใครแสดงข้อมูลคาร์บอนชัดเจน ได้สิทธิประโยชน์ และความเชื่อมั่นจากตลาด
ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการฝ่ามรสุมที่เข้ามาทุกทิศทาง โดยเฉพาะเส้นตาย 1 ส.ค. 2568 ที่คาดว่าสหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยถึง 36% ภายใต้นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่าทีมไทยแลนด์จะได้เจรจาข้อเสนอแลกเปลี่ยนซึ่งนำมาอัตราภาษีใหม่ แต่ ณ เวลานี้ ยังไม่มีตัวเลขภาษีใหม่ที่แน่ชัด แต่มีการคาดการณ์ว่าน่าอยู่ประมาณ 15-20% ส่งผลให้สินค้าไทยหลายรายการที่คาดว่าอาจได้รับแรงกระแทกแบบเต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ สิ่งทอ หรือแม้แต่อาหารแปรรูป
ประเด็นภาษีสหรัฐฯ นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากไทยมีการค้ากับสหรัฐสูง เมื่อดูข้อมูลจากศูนย์บูรณาการทางธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยอาจารย์อภิญญา พงษ์ปรีชา ระบุว่า ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 – 2567 ประเทศไทยได้ดุลการค้าจากสหรัฐอเมริกา คือมีมูลค่าการส่งออก มากกว่าการนำเข้า และอัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2567 ประเทศไทยได้ดุลการค้าจากสหรัฐอเมริกา 1,233,326.62 ล้านบาท การส่งออกจากไทยไปสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 1,928,483.71 ล้านบาท การนำเข้าของไทยจากสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 695,157.08 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการค้าระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา 2,623,640.79 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.23 ของมูลค่าการค้าของไทยกับต่างประเทศทั้งหมด ทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดการค้าที่สำคัญของประเทศไทย คือเป็นตลาดที่มีมูลค่าการค้าเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศจีน ที่ในปีเดียวกันจีนมีมูลค่าการค้ากับไทย 4,099,026.57 ล้านบาท
มาตรการคาร์บอนฝั่งยุโรปก็เข้ม
ไม่เพียงเท่านี้ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า CBAM ในฝั่งยุโรปเองก็ยังเร่งดำเนินการมาตรการกังกล่าว ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค.2569 เช่นเดียวกัน
สำหรับยุโรปเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ที่มีสัดส่วนเกือบ 10% ของการส่งออกทั้งหมดในทุกตลาดทั่วโลก แม้ว่าสินค้าภายใต้กติกา CBAM จะยังไม่ครอบคลุมสินค้าส่งออกของไทยแต่มีการประเมินว่าเมื่อระเบียบใหม่นี้ใช้ไปได้ระยะหนึ่ง ยุโรปจะนำสินค้านำเข้าเกือบทั้งหมดเข้าสู่กฎ CBAM ซึ่งคาดว่าใช้เวลาไม่นานจากนี้
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. รายงานว่ามาตรการนี้จะกระทบผู้นำเข้าสินค้าที่มีใบอนุญาตนำเข้าสินค้า (อะลูมิเนี่ยม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฮโดรเจน เหล็กและเหล็กกล้า และพลังงานไฟฟ้า) ที่เข้าเกณฑ์ EU-CBAM ต้องซื้อ CBAM certificate (คือค่าธรรมเนียมของสินค้าก่อนข้ามพรหมแดน) และรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์
และ 1 ม.ค. 2570 มาตรการ UK-CBAM จะเริ่มบังคับใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อะลูมิเนี่ยม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฮโดรเจน เหล็กและเหล็กกล้า โดยจะเพิ่มสินค้ากลุ่มแก้วและเซรามิกในลำดับถัดไป เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศและป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage)
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองหรือเศรษฐกิจมันยังเกี่ยวโยงกับ “สิ่งแวดล้อม” และ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึง แนวโน้มการค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนทิศ ไปสู่ความไม่แน่นอน และเน้นผลประโยชน์ภายใน (Protectionism) มากกว่าความร่วมมือข้ามพรมแดน
สำหรับ ประเทศไทย ซึ่งมีเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก นโยบายเช่นนี้คือ แรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ไม่เพียงแค่กระทบด้านราคาและตลาดเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงลึกถึง เรื่องสิ่งแวดล้อม และ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ของสินค้าที่เราผลิตอีกด้วย
ไทยควรเดินเกมอย่างไรท่ามกลางความผันผวนนี้?
อบก.ระบุว่าสิ่งที่ไทยควรเดินเกม คือ
1. เร่งประเมินและเปิดเผยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสินค้า: สนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง (SMEs) ในการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ ใช้ข้อมูลจากการประเมินเพื่อชูจุดแข็งด้าน “การผลิตอย่างยั่งยืน”
2. ผลักดันนโยบายรัฐหนุนสินค้าคาร์บอนต่ำ: จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ควรให้คะแนนเพิ่มกับสินค้าที่มีฉลากลดโลกร้อนใช้มาตรการภาษีภายในเพื่อส่งเสริมการลดคาร์บอน เช่น Tax rebate (ส่วนลดภาษี) สำหรับกิจการที่ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ตามเป้า
3. ใช้ Climate Action เป็น Soft Power ทางการค้า: ไทยสามารถเสนอภาพลักษณ์การค้า “สีเขียว” เพื่อสร้างความไว้วางใจในตลาดโลก เช่น กรณีส่งออกผลไม้ อาหาร หรือสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคในอาเซียนเรื่องการเปิดเผยคาร์บอนฟุตพริ้นท์
4. เร่งเจรจา FTA กับตลาดสำคัญอื่น เช่น EU, UAE เพื่อกระจายความเสี่ยงจากสหรัฐฯ: ซึ่ง EU ให้ความสำคัญสูงกับ ESG และ Climate Action ซึ่ง จะกลายเป็นโอกาสของไทย หากสินค้าไทยแสดงข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ชัดเจน โดยเฉพาะสินค้าภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนตลาด UAE ชื่นชอบสินค้าอาหาร ฮาลาล ยา เครื่องสำอาง และสมุนไพร ซึ่งไทยมีศักยภาพสูง
การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสินค้า: เครื่องมือสำคัญที่ไทยต้องเร่งใช้ให้เกิดผล
การที่สินค้าไทยสามารถระบุคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างโปร่งใส จะกลายเป็น ข้อได้เปรียบสำคัญ ในเวทีการค้าโลก โดยเฉพาะในช่วงที่บางประเทศกำลังหาข้ออ้างเพื่อกีดกันสินค้า ในขณะที่สหรัฐฯ เล่นเกมกำแพงภาษี ฝั่งยุโรปเดินเกม CBAM หรือ ค่าธรรมเนียมคาร์บอนข้ามพรมแดน โลกกำลังใช้ ข้อมูลคาร์บอนเป็นเงื่อนไขใหม่ของการค้า
ใครปล่อยคาร์บอนเยอะ = เสียภาษีเพิ่ม ใครแสดงข้อมูลคาร์บอนชัดเจน = ได้สิทธิประโยชน์ / ความเชื่อมั่นจากตลาด
แล้วไทยเราพร้อมแค่ไหน?
ตัวช่วยภาคธุรกิจในการประเมิน Carbon Footprint อบก.ได้พัฒนาระบบการประเมินและรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ มาแล้วมากกว่า 10 ปี โดยมีแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์และข้อกำหนดเฉพาะของกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ระบบการรับรองฉลากคาร์บอนในรูปแบบดิจิทัล เช่น ฉลากลดโลกร้อน (Carbon Footprint Reduction : CFR), คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product : CFP) มีการขึ้นทะเบียนผู้ประเมินภายนอกทำหน้าที่ทวนสอบข้อมูลความถูกต้องของผลการคำนวณ (Third-party verification) ทำให้ได้รับความเชื่อถือในระดับสากล มีฐานข้อมูลค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) ของประเทศไทย ที่ช่วยให้ภาคเอกชนคำนวณได้อย่างแม่นยำสะท้อนบริบทประเทศ มีดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับใช้เป็นระบบคำนวณและทวนสอบ Embedded Emissions เพื่อให้สามารถรองรับมาตรการ CBAM
มีแนวทางการรายงาน CBAM สําหรับ 4 ประเภทอุตสาหกรรม ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม ปูนซิเมนต์ และไฟฟ้า ทำให้ผู้ประกอบการส่งออกไปยังสภาพยุโรป ได้มีความสะดวกและความเข้าใจในกระบวนการคำนวณ การรายงาน และทวนสอบ ค่า Embedded Emissions มากยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกช่วยคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างแต้มต่อในเวทีการค้าโลกที่เน้นความยั่งยืน
อย่างไรก็ตามในสหภาพยุโรปยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่จะกระทบกับการส่งออกสินค้า เช่น กฏหรือมาตรการเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพในแต่ละกลุ่มสินค้าซึ่งจะมีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เช่น กฎหมายที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่เกี่ยวกับการทำลายป่าไม้เข้าสู่ตลาดของสหภาพยุโรป (EU Deforestation-free product :EUDR) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2568 สำหรับบริษัทขนาดใหญ่และ 30 มิถุนายน 2569 สำหรับบริษัท SME ซึ่งครอบคลุมสินค้าโกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ยางพารา ถั่วเหลือง และไม้
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีมาตรฐานสากลสำหรับการผลิตอ้อยและน้ำตาลอย่างยั่งยืน หรือ Bonsucro ถูกสร้างขึ้นโดยความร่วมมือของนักวิชาการ ชาวไร่อ้อย และภาคเอกชน แน่นอนว่ากระทบกลุ่มน้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาล
Rainforest Alliance ตราสัญลักษณ์รับรองระดับนานาชาติที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ที่ผลิตโดยคำนึงถึงความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผลไม้แปรรูป
Source : องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) / krungthai compass
https://www.cbsnews.com/news/trump-japan-korea-tariffs-august-1/?utm_source=chatgpt.com
https://thaicarbonlabel.tgo.or.th/index.php?lang=TH&mod=Y21Wa2RXTjBhVzl1WDJseg&utm_source=chatgpt.com


