เจาะปัจจัย ทำไม "ไบโอเทคจีน" เนื้อหอม บริษัทยาระดับโลกหันซบอก
ไบโอเทคจีนขึ้นแท่นดาวเด่น! ทำไมบริษัทยายักษ์ใหญ่ระดับโลกยอมทุ่มเงินแสนล้าน? เจาะลึกปัจจัยสำคัญ ทั้งต้นทุนวิจัย บุคลากร และโอกาสทองสำหรับสตาร์ทอัพ
ช่วงนี้ถ้าพูดถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยี ต้องยอมรับว่า จีน ไม่ได้เป็นแค่โรงงานผลิตสินค้าอีกต่อไป แต่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือแม้แต่เทคโนโลยีด้านกลาโหม
ล่าสุด สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ถึงคิวของ "ไบโอเทค" (Biotech) หรือเทคโนโลยีชีวภาพแห่งแดนมังกรที่กำลังผงาด และดึงดูดการลงทุนจากบริษัทยาระดับโลกด้วยเม็ดเงินมหาศาล
เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Pfizer บริษัทยาชื่อดังระดับโลก สร้างความฮือฮาด้วยการควักกระเป๋ากว่า 1.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 4 หมื่นล้านบาท)
เพื่อขอสิทธิ์ใช้ยาต้านมะเร็งตัวใหม่ที่ยังอยู่ในระหว่างการทดลองจากบริษัท 3SBio Inc. ของจีน แถมยังลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทนี้อีก 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 3.3 พันล้านบาท) ด้วย
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา Bristol-Myers Squibb อีกหนึ่งบริษัทยายักษ์ใหญ่ ก็ประกาศตามมาติดๆ ว่าจะทุ่มเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 5 หมื่นล้านบาท) ให้กับ BioNTech SE เพื่อขอสิทธิ์ใช้ยาต้านมะเร็งที่คล้ายกัน
ซึ่ง BioNTech ก็เพิ่งเข้าซื้อกิจการบริษัทจีนผู้พัฒนายาตัวนี้ไปเมื่อปลายปีที่แล้วด้วยเงิน 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.6 หมื่นล้านบาท)
ดีลใหญ่ระดับแสนล้านบาทแบบนี้ ทำให้แวดวงการเงินและนักลงทุนคึกคักเป็นพิเศษ สังเกตได้จากดัชนีหุ้นกลุ่มไบโอเทคของฮ่องกงที่พุ่งขึ้นถึง 60% ในปีนี้ สวนทางกับดัชนีเดียวกันของสหรัฐฯ ที่กลับลดลง 6.5%
สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า บริษัทยาใหญ่ๆ ทั่วโลกเริ่มมองว่าไบโอเทคจีนกำลังเป็น "ผู้เปลี่ยนเกม" สำคัญในอุตสาหกรรมยาอย่างแท้จริง
เจาะลึกปัจจัยที่ทำให้ไบโอเทคจีน "เนื้อหอม"
ลองมาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ไบโอเทคจีนก้าวขึ้นมาเป็นที่จับตา และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจากบริษัทยาชั้นนำ:
- แรงกดดันด้านค่าใช้จ่าย
ตอนนี้บริษัทยาทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันให้ ลดราคายา โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) ภายในบริษัทเป็นเรื่องใหญ่
เพื่อลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ บริษัทยาใหญ่ๆ จึงหันมาหาจีน เพราะการทดลองยาในมนุษย์ระยะเริ่มต้นที่นี่ ถูกกว่าและทำได้ง่ายกว่ามาก ขณะที่มาตรฐานความปลอดภัยเทียบเท่ากับระดับสากล
- แหล่งลงทุนที่ปลอดภัยจากการกีดกันทางการค้า
ขณะที่สินค้าจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ กำลังเผชิญกับอุปสรรคทางการค้าและภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น อุตสาหกรรมไบโอเทคกลับค่อนข้างปลอดภัยจากสถานการณ์เหล่านี้ โดยเฉพาะในจีน รัฐบาลจีนยังคงเปิดรับอุปกรณ์ทางการแพทย์และยาจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ยารักษามะเร็งปอดของ Pfizer หรือวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกของ Merck ซึ่งยังคงได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลจีน
การที่จีนยังคงเป็นมิตรกับบริษัทเวชภัณฑ์เหล่านี้ ทำให้พวกเขาสามารถเจรจาข้อตกลงและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในจีนได้ง่ายขึ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมไบโอเทคยังคงเติบโตและขยายตัวในตลาดจีนได้เป็นอย่างดี
- โอกาสทองสำหรับสตาร์ทอัพที่ต้องการเงินทุน
ในสถานการณ์ที่เม็ดเงินลงทุนในบริษัทไบโอเทคทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศจีน ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด บริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็กจำนวนมากจึงประสบปัญหาในการเดินหน้าพัฒนายาด้วยตัวเอง เนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงิน
ด้วยเหตุนี้ บริษัทเหล่านี้จึงจำเป็นต้องแสวงหาเงินทุนก้อนใหญ่ล่วงหน้า โดยเสนอแลกกับสิทธิ์การใช้ยา นี่จึงนับเป็น "โอกาสทอง" สำหรับบริษัทตะวันตก ที่จะเข้าลงทุนหรือเข้าซื้อหุ้นในบริษัทไบโอเทคจีนในราคาที่สามารถเจรจาต่อรองได้อย่างเป็นธรรม
- บุคลากรคุณภาพ ต้นทุนต่ำ
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จีนกำลังจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มหาศาลจากสิ่งที่เรียกว่า "เงินปันผลจากวิศวกร" (engineer dividend) ซึ่งเป็นผลพวงจากจำนวนวิศวกรที่มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังนโยบายจำกัดการออกวีซ่าของสหรัฐฯ ทำให้นักศึกษาจีนเก่ง ๆ จำนวนมากเลือกที่จะไม่เดินทางไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ แต่กลับมาทำงานและสร้างสรรค์นวัตกรรมกับบริษัทสตาร์ทอัพดาวรุ่งในประเทศบ้านเกิดแทน
ข้อมูลสถิติที่น่าสนใจชี้ให้เห็นว่า ในช่วงระหว่างปี 2000 ถึง 2020 จำนวนวิศวกรในจีนพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าทึ่งจาก 5.2 ล้านคน เป็น 17.7 ล้านคน
นอกจากนี้ สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์และแพทยศาสตร์ยังคงเป็นสองสาขาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการศึกษาต่อระดับบัณฑิตศึกษา
ที่สำคัญคือ ค่าตอบแทนของนักวิจัยในจีนนั้นถูกกว่าในสหรัฐอเมริกาถึงประมาณ 8 เท่า!
กล่าวโดยสรุปคือ จีนมีวิศวกรที่ อายุน้อย เปี่ยมด้วยความสามารถ ค่าตัวไม่แพง และมีจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมของจีนในอนาคต
ด้วยปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผู้ซื้อที่มองหาการลดต้นทุนและแหล่งวิจัยภายนอก ซึ่งช่วยกระตุ้นความต้องการในตลาดอย่างมาก
นอกจากนี้ นโยบายภาครัฐที่เอื้ออำนวย ก็มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตและนวัตกรรม รวมถึงการมี บุคลากรที่มีความสามารถในราคาที่แข่งขันได้ ทำให้จีนได้เปรียบในด้านการพัฒนาและวิจัย
จากปัจจัยเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ อุตสาหกรรมไบโอเทคของจีนกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีศักยภาพสูงที่จะก้าวขึ้นเป็น ผู้นำระดับโลกในอนาคตอันใกล้