posttoday

“สร้างภูมิ-ปลดล็อกภาระการเงินและปัญหาสุขภาพ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ” ทำได้อย่างไร?

23 พฤษภาคม 2568

ตลาดสุขภาพไทยโตต่อเนื่อง เทรนด์เปลี่ยนจาก “ระบบรักษาเมื่อป่วย” ไปสู่ “ระบบดูแลป้องกันก่อนป่วย” โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน เช่น Wearables, AI, ระบบ Telemedicine และฐานข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล

KEY

POINTS

  • อุตสาหกรรม “สุขภาพ” เติบโตในวงกว้าง ไม่ใช่แค่โรงพยาบาลและการรักษาพยาบาลอีกต่อไป แต่ครอบคลุมตั้งแต่ เวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic Medicine), เทคโนโลยีสุขภาพ (HealthTech & Wearables), ไปจนถึง การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness & Medical Tourism)
  • ความจำเป็นในการวางแผนชีวิตในยุคเศรษฐกิจผันผวน โดยเฉพาะการเชื่อมโยงด้าน การเงิน-สุขภาพ-จิตใจ ให้เป็นองค์รวมเดียวกัน จะช่วยให้คนไทยมี “ภูมิคุ้มกันทางการเงิน”
  • ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติยังพบว่า 80% ของคนไทยไม่มีแผนเกษียณที่ชัดเจน และโรคประจำตัวเรื้อรังกำลังเป็นภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลในระยะยาว การวางแผนสุขภาพเชิงรุกจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเรื่องจำเป็น

สถิติการใช้จ่ายสำหรับโรงพยาบาลของคนไทยราว 70-77% อยู่ในช่วงท้ายๆ ของชีวิต ค่าเฉลี่ยอายุคนไทยในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 40.6 ปี ในขณะที่ 80% ของคนไทยไม่มีแผนเกษียณที่ชัดเจน ข้อมูลนี้กำลังบอกอะไรกับเราในเรื่องปัญหาสุขภาพและการเงิน?

 

ในยุคที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ ทั้งจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสุขภาพหลังโควิด-19 คนไทยจำนวนมากกำลังหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลตนเองในทุกมิติ ส่งผลให้อุตสาหกรรม “สุขภาพ” เติบโตในวงกว้าง ไม่ใช่แค่โรงพยาบาลและการรักษาพยาบาลอีกต่อไป แต่ครอบคลุมตั้งแต่ เวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic Medicine), เทคโนโลยีสุขภาพ (HealthTech & Wearables), ไปจนถึง การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness & Medical Tourism)

 

ล่าสุด บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ "เคทีซี" ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช จัดกิจกรรม “KTC FIT Talk ครั้งที่ 14” ภายใต้หัวข้อ “สร้างภูมิ-ปลดล็อกภาระการเงินและปัญหาสุขภาพ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ” สะท้อนถึงการตระหนักถึงความเชื่อมโยงของ “สุขภาพ” และ “การเงิน” ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจเปราะบางที่ผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายจาก "ซื้อเพื่อความสะดวก" เป็น "ใช้เพื่อคุณภาพชีวิต"

 

“สร้างภูมิ-ปลดล็อกภาระการเงินและปัญหาสุขภาพ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ” ทำได้อย่างไร?

 

ตลาดสุขภาพไทยกำลังโตอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลจากหลายสำนักวิจัยยืนยันตรงกันว่า อุตสาหกรรมสุขภาพในไทยกำลังเติบโตเฉลี่ย 10–15% ต่อปี โดยเฉพาะใน 3 กลุ่มธุรกิจหลักที่มีแนวโน้มโดดเด่นในปี 2568 ได้แก่

 

​​​​​​

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness & Medical Tourism)

  • ประเทศไทยยังครองตำแหน่งผู้นำในระดับภูมิภาค ด้วยจุดแข็งด้านบุคลากรการแพทย์ โรงพยาบาลมาตรฐานสากล และราคาที่แข่งขันได้
  • ผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง จีน และ CLMV เดินทางเข้ามารักษาในกลุ่มโรคเฉพาะทาง เช่น ศัลยกรรม, เวชศาสตร์ฟื้นฟู, ตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน และฟื้นฟูหลังโควิด
  • เทรนด์ใหม่: โปรแกรมดูแลสุขภาพระยะสั้น 3–7 วัน, Detox retreat, Sleep clinic, Balance & Immunity program

 

เวชศาสตร์ความงามและชะลอวัย (Aesthetic & Anti-aging Medicine)

  • ความนิยมสูงในกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะการทำหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด (Non-invasive procedures)
  • ศูนย์เวชศาสตร์ความงามระดับพรีเมียมในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต สมุย ขยายตัวรวดเร็ว
  • แนวโน้ม: คลินิกที่ให้บริการแบบครบวงจร ร่วมกับโภชนาการและการดูแลสุขภาพจิต

 

เทคโนโลยีสุขภาพและอุปกรณ์สวมใส่ (HealthTech & Wearables)

  • การใช้งานอุปกรณ์อย่าง Smartwatch, Smart Ring เพื่อเก็บข้อมูลชีวภาพและวิเคราะห์สุขภาพรายบุคคลกลายเป็นเรื่องปกติ
  • โรงพยาบาลสมิติเวชเปิดตัว “Samitivej Wearable Clinic” ซึ่งเชื่อมข้อมูลจากอุปกรณ์กับระบบวิเคราะห์ผ่านแอปพลิเคชัน Well by Samitivej เพื่อประเมินสุขภาพเบื้องต้น และส่งต่อข้อมูลให้แพทย์วินิจฉัยเชิงลึกในระบบ Telemedicine
  • เทรนด์ใหม่: ระบบ AI Health Coaching, Personalized Wellness Plan, Virtual Care 24/7

 

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต หมวดสุขภาพและความงาม KTC

 

KTC กับบทบาทในธุรกิจสุขภาพ

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต หมวดสุขภาพและความงามของ KTC เผยว่า พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนหลังโควิด โดย ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซีในหมวดสุขภาพเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ขณะที่กลุ่มคนอายุ 20–29 ปี มีสัดส่วนการใช้จ่ายในโรงพยาบาล ฟิตเนส และสุขภาพรวมเพิ่มขึ้นกว่า 30%

 

“ในปี 2568 นี้ เคทีซีวางกลยุทธ์จะขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรสุขภาพให้มากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มสมาชิกเคทีซีและผู้บริโภคให้มากที่สุด กล่าวคือ ไปที่ใดต้องเห็นสิทธิพิเศษจากเคทีซี รวมถึงกลุ่ม Wellness Lifestyle โดยจับมือกับพันธมิตรในกลุ่มโรงพยาบาล ฟิตเนส รวมถึงผู้จำหน่ายอุปกรณ์ออกกำลังกายและเทคโนโลยีสวมใส่ (Wearable Devices) เพื่อตอบรับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นการดูแลสุขภาพของตัวเองและครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มคนอายุ 20-29 ปี มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ทั้งในกลุ่มโรงพยาบาล สปอร์ตและฟิตเนส ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการที่คนหันมาสนใจในเรื่องการดูแลสุขภาพเร็วขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย”

 

หนึ่งในไฮไลต์คือโปรแกรมพิเศษร่วมกับโรงพยาบาลสมิติเวช ที่สมาชิก KTC สามารถรับสิทธิ์ปรึกษาแพทย์ผ่าน Samitivej Wearable Clinic พร้อมส่วนลดค่าบริการ มุ่งเปลี่ยนแนวคิด “ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพดีในระยะยาว” แทนการซื้อเพื่อตอบสนองความต้องการชั่วคราว

 

“สร้างภูมิ-ปลดล็อกภาระการเงินและปัญหาสุขภาพ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ” ทำได้อย่างไร?

 

นายแพทย์นรศักดิ์ สุวจิตตานนท์ อายุรแพทย์โรคหัวใจและการกีฬา โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เปิดเผยว่า “ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ แนวคิดใหม่ของการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่ทางการแพทย์ได้นำมาใช้ในการวินิจฉัยและติดตามข้อมูลสุขภาพของผู้บริโภค คือ Wearable Devices อย่างนาฬิกาอัจฉริยะ (Smartwatch) หรือแหวนอัจฉริยะ (Smart Ring) เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพเชิงรุก เปลี่ยนจากการรักษาเมื่อป่วยเป็นการตรวจจับความเสี่ยงและสัญญาณผิดปกติในระยะเริ่มต้น (Early Detection)

 

สุขภาพคือการวางแผนชีวิตอย่างรอบด้าน

นายอภิเชษฐ์ เกียรติวรคุณ CFA จาก KTC กล่าวถึงความจำเป็นในการวางแผนชีวิตในยุคเศรษฐกิจผันผวน โดยเฉพาะการเชื่อมโยงด้าน การเงิน-สุขภาพ-จิตใจ ให้เป็นองค์รวมเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้คนไทยมี “ภูมิคุ้มกันทางการเงิน” และรับมือเหตุไม่คาดฝันได้ดีกว่าในอดีต

 

“สร้างภูมิ-ปลดล็อกภาระการเงินและปัญหาสุขภาพ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ” ทำได้อย่างไร?

 

“ในทุกช่วงเวลาของอายุมีต้นทุนของมันอยู่ ในช่วงท้ายๆ ต้นทุนไม่สูงนัก ทำให้เราต้องการจายความเสี่ยงในการลงทุนเพื่อสุขภาพมากขึ้น ทั้งด้วย Multiple Skill ทั้งการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการทำงานมากขึ้น เพราะการมีรายรับหลายทางคือการกระจายความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ช่วยให้เมื่อถึงช่วงวัยหนึ่ง ภาระการใช้จ่ายด้านสุขภาพจะไม่หนักเกินไป” นายอภิเชษฐ์กล่าว

 

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติยังพบว่า 80% ของคนไทยไม่มีแผนเกษียณที่ชัดเจน และโรคประจำตัวเรื้อรังกำลังเป็นภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลในระยะยาว การวางแผนสุขภาพเชิงรุกจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเรื่องจำเป็น

 

“ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังมีความไม่แน่นอน ผู้บริโภคและสมาชิกเคทีซีจึงจำเป็นต้องวางแผนด้านการเงินและสุขภาพอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น สำหรับวัยทำงานควรเริ่มต้นจากการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ตั้งเป้าหมายทางการเงินตามสูตร 50-30-20 หรือ 60-20-20 มีเงินสำรองฉุกเฉิน และลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของตนเอง รวมถึงฝึกวินัยทางการเงินผ่านระบบออมอัตโนมัติ ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และทบทวนแผนทุก 6 เดือน”

 

“สำหรับทางเลือกเพื่อพิจารณาในการลงทุนเพื่อการออม รับมือเศรษฐกิจปี 2568 ในกล่มหุ้น (Selective Underweight) ควรเน้นกลุ่มสาธารณูปโภค สินค้าอุปโภคและสุขภาพ หรือเลือกลงทุนในหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ที่มีตลาดกระจายหลายประเทศมากกว่าที่มีการกระจุกตัวของตลาด เน้นหุ้นบริโภคในประเทศที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ลดหุ้นส่งออกไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะที่ไม่มีสิทธิยกเว้นภาษี ตราสารหนี้ เพิ่มน้ำหนักพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางและระยะยาว เลี่ยงตราสารหนี้เอกชนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ และลดการถือพันธบัตรอิงเงินเฟ้อจากแนวโน้มเงินเฟ้อต่ำ สำหรับทองคำ สามารถค่อยๆ เพิ่มการลงทุนระยะยาวเพื่อป้องกันความเสี่ยง แนะนำถือทองในรูปแบบ USD รับมือค่าเงินบาทผันผวน หรือเข้าชื้อแบบทยอยเพื่อเฉลี่ยต้นทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะในสภาวะที่เศรษฐกิจยังมีความผันผวน และอยากสนับสนุนให้ผู้บริโภคและสมาชิกเคทีซีให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการเงินและสุขภาพอย่างสมดุลและมีวินัย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืนให้กับชีวิตและครอบครัว”

 

มองไปข้างหน้า สุขภาพไทยในยุคดิจิทัล

อุตสาหกรรมสุขภาพไทยกำลังเปลี่ยนจาก “ระบบรักษาเมื่อป่วย” ไปสู่ “ระบบดูแลป้องกันก่อนป่วย” โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน เช่น Wearables, AI, ระบบ Telemedicine และฐานข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล

 

ธุรกิจที่สามารถผสานองค์ความรู้ด้านสุขภาพกับการเงิน การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี จะมีโอกาสสร้าง “คุณค่าใหม่” ที่ยั่งยืนให้กับผู้บริโภคไทย ซึ่งกำลังกลายเป็น “คนรักสุขภาพเชิงรุก” มากขึ้นเรื่อย ๆ

 

ในวันที่ “สุขภาพ” ไม่ใช่แค่เรื่องของโรงพยาบาล แต่คือการวางแผนชีวิตอย่างมีกลยุทธ์ คำว่า Wellness จึงไม่ได้เป็นแค่เทรนด์อีกต่อไป  แต่คือแนวทางในการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

 

นางสาวสิรีรัตน์กล่าวเพิ่มเติมว่า “บัตรเคทีซีไม่ใช่เพียงเครื่องมือในการใช้จ่าย แต่เป็นเพื่อนคู่คิดที่ช่วยให้สมาชิกใช้เงินอย่างมีการวางแผน มีเป้าหมายและมีความรับผิดชอบ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์อย่างเข้าใจ เพื่อให้สมาชิกเคทีซีได้ใช้ชีวิตที่มีคุณภาพอย่างที่ต้องการ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กำลังเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการใช้จ่าย จากใช้เพื่อความสะดวก เป็นใช้เพื่อคุณภาพชีวิต

 

สำหรับสมาชิกเคทีซีที่ต้องการใช้บริการรับคำปรึกษาสุขภาพเชิงป้องกันผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยี หรือดูแลรักษาสุขภาพที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพกับเคทีซีมายาวนาน สามารถรับโค้ดส่วนลด SMVxKTC  เมื่อรับบริการปรึกษาแพทย์ที่ Samitivej Wearable Clinic มูลค่า 800 บาท  (ไม่รวมค่าบริการโรงพยาบาล) และชำระค่าบริการด้วยบัตรเครดิตเคทีซีผ่านแอปฯ Well by Samitivej ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2568 - 31 สิงหาคม 2568 นอกจากนี้สมาชิกบัตรเคทีซียังจะได้รับส่วนลด 10% สำหรับค่าห้อง และรับเครดิตเงินคืนไม่จำกัด เมื่อใช้บริการด้านสุขภาพต่างๆ ที่โรงพยาบาลสมิติเวช และมียอดใช้จ่ายตามกำหนด ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2568 รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://bit.ly/43ajCZd

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68