ศึกทายาทชิงอำนาจสะเทือนดุสิตธานี ตำนานโรงแรมไทยสู่ความขัดแย้ง
เกิดอะไรขึ้นในความขัดแย้งภายในตระกูลผู้ก่อตั้งฉุดธุรกิจโรงแรมดุสิตธานีสะดุด หุ้นใหญ่ไม่อนุมัติงบ การเงินล่าช้า กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนในระยะยาว
KEY
POINTS
- ศึกแย่งอำนาจภายในครอบครัวผู้ก่อตั้ง : ความขัดแย้งภายในบริษัท “ชนัตถ์และลูก” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DUSIT ปะทุขึ้นเมื่อชนินทธ์ โทณวณิก ถูกถอดจากตำแหน่งกรรมการ และตัวแทนจากสองตระกูลน้องสาวเข้ามาแทน ส่งผลให้ตระกูลโทณวณิกหมดสิทธิ์บริหาร แม้ยังถือหุ้นมากที่สุด
- ผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ : ความขัดแย้งทำให้บริษัทชนัตถ์และลูกไม่อนุมัติงบการเงินของ DUSIT ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถแต่งตั้งผู้สอบบัญชี และอาจถูกตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย SP ซึ่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบริษัทในสายตานักลงทุน
- อนาคตธุรกิจเผชิญความไม่แน่นอน : แม้ DUSIT จะมีแผนลงทุนและโครงการขนาดใหญ่อย่าง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” แต่ความไม่เป็นเอกภาพของผู้ถือหุ้นหลัก อาจบั่นทอนการบริหารและการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
โรงแรมหรูระดับตำนานที่สร้างชื่อให้ประเทศไทยมายาวนานกว่า 70 ปี กลับต้องเผชิญมรสุมครั้งใหญ่ ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพราะโควิด แต่เพราะ "ศึกแย่งอำนาจ" ภายในครอบครัวผู้ก่อตั้งเอง
จากความฝันของ “ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย”
หากเอ่ยถึงชื่อ “ดุสิตธานี” คนไทยแทบทุกคนต้องรู้จักในฐานะโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ มานานกว่า 70 ปี
ต้นกำเนิดของโรงแรมดุสิตธานี เริ่มจากความตั้งใจของ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้หญิงนักบุกเบิกที่ต้องการสร้างโรงแรมระดับนานาชาติที่สะท้อนอัตลักษณ์ไทย และได้ก่อตั้ง “ดุสิตธานี” ขึ้นในปี 1948 (พ.ศ. 2491) จนกลายเป็นแบรนด์โรงแรมที่ขยายไปกว่า 19 ประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน
ครอบครัวที่เติบโตไปพร้อมธุรกิจ
ท่านผู้หญิงชนัตถ์ มีทายาท 3 คน ได้แก่
- ชนินทธ์ โทณวณิก (บุตรชายคนโต)
- สินี เธียรประสิทธิ์ (บุตรสาวคนกลาง)
- สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (บุตรสาวคนเล็ก)
เพื่อสานต่อกิจการและรักษามรดกทางธุรกิจของครอบครัว เธอจึงจัดตั้งบริษัท “ชนัตถ์และลูก จำกัด” ขึ้นมาให้บุตรหลานถือหุ้นร่วมกัน โดยบริษัทนี้ถือหุ้นใหญ่มากถึง 49.74% ใน บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT
ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่ง “ความขัดแย้ง” เริ่มปรากฏ...
จุดแตกหัก: การแย่งอำนาจใน “ชนัตถ์และลูก”
ต้นปี 2568 เกิดความเปลี่ยนแปลงสำคัญในบริษัทชนัตถ์และลูก - “ชนินทธ์ โทณวณิก” บุตรชายคนโต ผู้ที่มีบทบาทอย่างมากในการบริหารดุสิตธานีมาอย่างยาวนาน ถูกถอดออกจากตำแหน่งกรรมการโดยไม่ปรากฏรายละเอียดชัดเจน
ผู้ที่เข้ามาแทนกลับเป็นตัวแทนจากสองตระกูลน้องสาว คือ
ภัทร สาลีรัฐวิภาค (หลานชายจากสายสุนงค์)
ลลิตา เธียรประสิทธิ์ (หลานสาวจากสายสินี)
ส่งผลให้คณะกรรมการใหม่ของ “ชนัตถ์และลูก” ไม่มีตัวแทนจากตระกูลโทณวณิกเหลืออยู่เลย และอำนาจลงนามในนามบริษัทจึงกลายเป็นของสองตระกูลน้องสาวเพียงเท่านั้น
ผลสะเทือน: ดุสิตธานีไม่สามารถยื่นงบการเงินได้
เมื่อบริษัท “ชนัตถ์และลูก” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ไม่ยอมอนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 ของ DUSIT ทั้งที่ผ่านการรับรองจากผู้สอบบัญชีแล้ว ส่งผลกระทบลูกโซ่ตามมาอย่างรุนแรง
- ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไม่สามารถแต่งตั้งผู้สอบบัญชีได้
- ทำให้ผู้สอบบัญชีไม่สามารถลงนามงบไตรมาส 1 ปี 2568 ได้
- DUSIT ต้องส่งงบการเงินล่าช้า ตลาดหลักทรัพย์เตรียมขึ้นเครื่องหมาย SP
เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาทางบัญชี แต่สะท้อน “ความไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน” ของครอบครัวผู้ก่อตั้ง และสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดทุน
ใครถือหุ้นอยู่ใน “ชนัตถ์และลูก”
จากข้อมูลล่าสุด โครงสร้างผู้ถือหุ้นในบริษัทชนัตถ์และลูก มีลักษณะกระจัดกระจาย และแบ่งออกเป็น 3 สายหลัก ดังนี้
- ตระกูลโทณวณิก (นำโดยชนินทธ์) ถือรวม 26.66%
- ตระกูลเธียรประสิทธิ์ (สายสินี) ถือรวม 26.65%
- ตระกูลสาลีรัฐวิภาค (สายสุนงค์) ถือรวม 21.68%
- กองมรดกท่านผู้หญิงชนัตถ์ ถืออีก 24.99%
แม้ตระกูลโทณวณิกจะมีสัดส่วนหุ้นสูงที่สุดในกลุ่ม แต่กลับไม่มีอำนาจบริหารในบริษัท ส่งผลให้การตัดสินใจเรื่องสำคัญต่าง ๆ ไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป
อนาคตของดุสิตธานี?
ท่ามกลางความขัดแย้ง DUSIT ยังยืนยันใน “ภาพธุรกิจใหญ่” ที่วางรากฐานมาตั้งแต่ก่อนโควิด โดยมีการกระจายการลงทุนขยายแบรนด์ทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น โครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่า 46,000 ล้านบาท ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ถือหุ้นหลักยังไม่สามารถตกลงกันได้ อาจบั่นทอนศักยภาพและการขับเคลื่อนธุรกิจในระยะยาว โดยเฉพาะการบริหารโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยความเชื่อมั่นจากทุกฝ่าย
ตำนานที่กำลังสั่นคลอน
เรื่องของ “ดุสิตธานี” วันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจโรงแรม แต่กลายเป็นเรื่องของ ครอบครัว มรดก และอำนาจ
จากโรงแรมในฝันของ “หญิงแกร่งผู้บุกเบิก” สู่การเป็นสมรภูมิของลูกหลานที่ต้องการรักษา “ส่วนแบ่งของอดีต”
คำถามสำคัญคือ ดุสิตธานี” จะรอดพ้นจากมรสุมภายในนี้ได้อย่างไร?
และ แบรนด์ไทยระดับโลกนี้จะยังคงยืนหยัดอย่างสง่างามต่อไปได้หรือไม่?
สรุปผลประกอบการปี 2567 และทิศทางธุรกิจ DUSIT
1. โครงสร้างธุรกิจเปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นแค่โรงแรมไทยอีกต่อไป
เดิมพึ่งพารายได้ในประเทศเป็นหลัก เสี่ยงต่อความผันผวนภายในประเทศ
ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา DUSIT เดินหน้ากระจายธุรกิจจาก 2 กลุ่ม เป็น 4 กลุ่มหลัก
ขยายตลาดจาก 8 ประเทศ เป็น 19 ประเทศ
ขยายแบรนด์จาก 4 เป็น 10 แบรนด์
2. เหตุผลที่ขาดทุนในปี 2567
รายได้รวม เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 11,204 ล้านบาท (+75% จากปีก่อน)
แต่ยังขาดทุนสุทธิ เนื่องจากภาระต้นทุนทางการเงินจาก
ดอกเบี้ยหุ้นกู้และเงินกู้รวมประมาณ 578 ล้านบาท
เกิดจากการหลีกเลี่ยงการเพิ่มทุนเพื่อไม่ให้เกิด dilution กับผู้ถือหุ้น
หากไม่นับต้นทุนทางการเงิน DUSIT มีกำไรจากการดำเนินงานจริง
3. การลงทุนที่เป็นประเด็น
การลงทุน 4 โครงการใหญ่ ได้แก่
1. อาศัย ไชน่าทาวน์ – เจาะตลาดกลุ่ม Gen Z, เคยขึ้นอันดับ 1 ใน Tripadvisor
2. โรงแรมอาศัย สาทร – ต้นแบบเพื่อขยายแบรนด์อาศัยทั่วเอเชีย
3. โรงแรมดุสิต สวีท ราชดำริ – ปรับสู่ Wellness Hotel, จับกลุ่มสุขภาพ-พำนักระยะยาว
4. โรงเรียนสอนทำอาหาร The Food School (TFS) – กำลังเติบโต, ปีล่าสุดมีนักเรียนเกือบ 1,600 คน
ซึ่ง 2 ใน 4 โครงการ ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยมี IFA และที่ปรึกษากฎหมายรับรอง ไม่ใช่การตัดสินใจของบอร์ดฝ่ายเดียว
4. โครงการเรือธง: ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค
มูลค่าโครงการกว่า 46,000 ล้านบาท
คอนโด Dusit Residences และ Dusit Parkside มียอดขายแล้ว 87.9% หรือราว 15,850 ล้านบาท
เริ่มรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ปลายปี 2568 – ต้นปี 2569
5. สถานะทางการเงินและเครดิต
ทุนจดทะเบียนยังคงเท่าเดิมที่ 850 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2559
ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นกว่า 3,770 ล้านบาท
อัตราหนี้สินต่อทุน (Net IBD/E – ไม่รวม TFRS 16) อยู่ที่ 1.09 เท่า ตามเงื่อนไขเงินกู้
ยังรักษาอันดับเครดิตระดับ Investment Grade และแนวโน้มเครดิต “คงที่” ตั้งแต่ปี 2566
6. ธรรมาภิบาลและการสื่อสาร
ได้รับการประเมิน CG “ดีเลิศ” ต่อเนื่อง 10 ปีจาก Thai IOD
ได้รางวัล IR ดีเด่นและยอดเยี่ยมจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2563 และ 2566
พร้อมเปิดรับข้อเสนอแนะจากผู้ถือหุ้นผ่าน Analyst Meeting, Opportunity Day, Conference Call


