posttoday

ศึกดุสิตธานี! มรดกสามพันล้าน จุดชนวนไฟ 3 ทายาท "ชนัตถ์ ปิยะอุย"

14 พฤษภาคม 2568

เปิดศึกทายาท "ท่านผู้หญิงชนัตถ์" แตกหักกลางบอร์ด "ชนัตถ์และลูก" ผู้ถือหุ้นใหญ่ดุสิตธานี "ชนินทธ์ โทณวณิก"ถูกเขี่ยพ้นกรรมการ ด้านงบประจำปีถูกคว่ำกลางที่ประชุม!

KEY

POINTS

  • เปิดศึกทายาท "ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย" แตกหักกลางบอร์ด "ชนัตถ์และลูก" ผู้ถือหุ้นใหญ่ดุสิตธานี
  • "ชนินทธ์ โทณวณิก"ถูกเขี่ยพ้นกรรมการ ด้านงบการเงินประจำปีถูกคว่ำกลางที่ประชุม
  • ชี้ศึกมรดกพันล้านอาจพลิกโฉมอนาคตแบรนด์โรงแรมระดับโลกของไทย!

เกิดอะไรขึ้นในตระกูล "ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย" หลังมรดกดุสิตธานีกลายเป็นสนามรบของ 3 ทายาท ? 

ความขัดแย้งภายในของทายาททั้ง 3 คนของ "ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย" ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี ได้ทวีความรุนแรงและปะทุออกมาอย่างชัดเจน เมื่อ "บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด" ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ "บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT" ไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 ทั้งที่ผ่านการรับรองจากผู้สอบบัญชีเรียบร้อยแล้ว

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 32/2568 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนปัญหาภายในของครอบครัวผู้ถือหุ้นหลักบริษัทโรงแรมระดับตำนานของไทย

ทายาทของ "ท่านผู้หญิงชนัตถ์" คือใคร ?

"ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย" ผู้ก่อตั้ง "บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด" ซึ่งถือหุ้นใน ดุสิตธานี (DUSIT) ถึง 49.74% มีบุตรธิดา 3 คน ได้แก่

คุณชนินทธ์ โทณวณิก ลูกชายคนโต
คุณสินี เธียรประสิทธิ์ แต่งงานกับ คุณฐิตินันท์ เธียรประสิทธิ์
คุณสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค แต่งงานกับคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

จุดแตกหัก: “ชนินทธ์” หลุดจากบอร์ด!

ความขัดแย้งปะทุอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2568 เมื่อ "ชนินทธ์ โทณวณิก" ถูกถอดออกจากตำแหน่งกรรมการของ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด และแทนที่ด้วยกรรมการใหม่จากอีก 2 ตระกูล คือ นายภัทร สาลีรัฐวิภาค และ นางสาวลลิตา เธียรประสิทธิ์

ซึ่งรายชื่อกรรมการปัจจุบันประกอบด้วยสมาชิกจาก "ตระกูลเธียรประสิทธิ์ และ ตระกูลสาลีรัฐวิภาค" เท่านั้น ขณะที่ "ตระกูลโทณวณิก" ไม่มีตัวแทนในบอร์ด

คำถามใหญ่ : ใคร ? คุมอำนาจ "บริษัท ชนัตถ์และลูก"

การเปลี่ยนโครงสร้างกรรมการล่าสุด ทำให้อำนาจลงนามในนามบริษัทตกเป็นของ 4 คนจาก 2 ตระกูล ได้แก่:

นางสินี หรือ นางสาวลลิตา (เธียรประสิทธิ์)
นางสุนงค์ หรือ นายภัทร (สาลีรัฐวิภาค)

ขณะที่ ฝั่งโทณวณิก ซึ่งถือหุ้นใหญ่ 26.66% กลับไม่มีอำนาจบริหารใดๆ นี่สะท้อนการจัดขั้วอำนาจใหม่ในบริษัทที่อาจมีนัยต่อทิศทางของธุรกิจโรงแรมดุสิตธานีในอนาคต

ผลประกอบการ “ชนัตถ์และลูก” สะท้อนอะไร?

บริษัทมีทุนจดทะเบียน 752 ล้านบาท และมีผลประกอบการที่เคยเติบโตสูง ก่อนจะร่วงแรงในช่วงวิกฤติโควิด-19 

ปี 2562 รายได้รวม 74 ล้านบาท กำไร 73 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ลดฮวบเหลือ 2.7 ล้านบาท กำไร 2.3 ล้านบาท
ปี 2566 เริ่มฟื้น รายได้รวม 11.5 ล้านบาท กำไร 10.7  ล้านบาท

สินทรัพย์รวมในปี 2566 อยู่ที่ 3,890 ล้านบาท ลดลงจากปี 2565 ที่มี 4,915 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงผลกระทบทั้งจากโควิดและความไม่แน่นอนในการบริหาร

หุ้น DUSIT จะได้รับผลกระทบแค่ไหน?

เมื่อบริษัทแม่อย่าง “ชนัตถ์และลูก” ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 หุ้น DUSIT ถึง 49.74% เกิดรอยร้าวภายใน ผู้ถือหุ้นอื่น อย่าง บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ถือหุ้นอันดับ 2 อยู่ที่ 17.09%, ธนาคารกรุงเทพ ถือ 4.06% และนักลงทุนรายย่อยต่างจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะความขัดแย้งอาจลุกลามสู่บอร์ด DUSIT และสะเทือนความเชื่อมั่นในแบรนด์โรงแรมหรูระดับสากลนี้

จุดจบของความร่วมมือ หรือการเริ่มต้นของศึกมรดกพันล้าน ?

ความเปลี่ยนแปลงภายใน "บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด" ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนกรรมการ แต่คือ การจัดสมดุลอำนาจใหม่ระหว่างทายาทของผู้ก่อตั้งที่ส่งผลโดยตรงต่ออนาคตของดุสิตธานี และภาพลักษณ์ของแบรนด์ไทยในเวทีโลก

คำถามคือ… ดุสิตธานีจะรอดพ้นจากศึกสายเลือดครั้งนี้ได้อย่างไร ?

--------------------

ขออภัย "คุณชนิสา แก้วเรือน" ในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการทำหน้าที่จากกรณีนี้ กองบรรณาธิการตระหนักดีว่าผลกระทบเป็นเช่นไร และใคร่ขอให้เชื่อมั่นว่า โพสต์ทูเดย์จักทำหน้าที่สื่อมวลชนด้วยความรับผิดชอบ ตรวจสอบได้

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์