posttoday

ไทยเนื้อหอม! บริษัทลงทุนระดับโลกเล็งลงทุน Private Equity ระยะยาว

06 พฤษภาคม 2568

เมืองไทยไม่ไร้เสน่ห์ บริษัทลงทุนระดับโลกเล็งเข้าลงทุน Private Equity-โครงสร้างพื้นฐาน-อสังหาฯ ระยะยาว มองเอเชีย เป็นภูมิภาคที่มีโอกาสการลงทุนน่าสนใจมากที่สุด

ข้อมูลจาก Goldman Sachs Global Investment Research ระบุว่า ภูมิภาคเอเชียมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก และคาดว่า GDP ของภูมิภาคนี้จะมีสัดส่วนถึงเกือบ 44% ของเศรษฐกิจโลก ภายในปี 2593 แนวโน้มการเติบโตนี้จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่สนับสนุนการลงทุนใน Private Equity โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่หลายประเทศกำลังยกระดับจากเศรษฐกิจเกิดใหม่ไปสู่เศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะประเทศไทย 
 
“ซูแอน โยว” หัวหน้าฝ่ายบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของ อีคิวที ไพรเวท แคปิตัล เอเชีย (EQT Private Capital Asia) ให้ข้อมูลกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า เอเชียถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีโอกาสการลงทุนใน Private Equity ที่น่าสนใจที่สุดในระดับโลกในทศวรรษหน้า

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลกในปัจจุบัน เอเชียยังคงโดดเด่นในฐานะภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงในการสร้างผลตอบแทนที่แตกต่างและช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ ภูมิภาคนี้ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจภายในประเทศขนาดใหญ่ โครงสร้างประชากรที่เอื้อต่อการเติบโต รวมถึงแหล่งสภาพคล่องที่ไม่สัมพันธ์กับตลาดอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เปิดโอกาสทางเลือกใหม่ๆ ในการเติบโตและสร้างผลตอบแทนสำหรับนักลงทุน

ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย เรามองเห็นศักยภาพในธุรกิจจำนวนมากที่ยังบริหารจัดการอย่างไม่เต็มศักยภาพ หรืออยู่ในช่วงระหว่างเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจครอบครัว ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ด้วยการยกระดับการบริหารจัดการให้มีความเป็นมืออาชีพ การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการสนับสนุนเติบโตเชิงอย่างมีกลยุทธ์ 

แนวโน้มนี้เห็นได้ชัดเจนมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ที่มีธุรกิจครอบครัวจำนวนมากกำลังมองหาแนวทางการสืบทอดกิจการระหว่างรุ่น หรือต้องการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค 

หนึ่งในโอกาสที่น่าสนใจและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่เรามองเห็นทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือการถ่ายโอนความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น ธุรกิจครอบครัวยังคงเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจในหลายประเทศในเอเชีย เรามองเห็นคนรุ่นใหม่ในครอบครัวของกิจการเหล่านี้มีมุมมองที่แตกต่างในด้านการถือครองกิจการ การสืบทอด และการนำระบบบริหารจัดการแบบมืออาชีพเข้ามาใช้มากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเปิดช่องทางการลงทุนที่หลากหลายให้กับ EQT

สำหรับประเทศไทยในปี 2567 ธุรกิจครอบครัวมีจำนวนคิดเป็น 67% ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) และในปี 2566 ธุรกิจครอบครัวเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่ง (46.4%) ของ GDP ของประเทศ

ระหว่างปี 2566-2573 มีการคาดการณ์ว่ากลุ่มครอบครัวผู้ที่มีความมั่งคั่งสูงมากเป็นพิเศษ (Ultra High Net Worth: UHNW) และความมั่งคั่งสูง (High Net Worth: HNW) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีการถ่ายโอนความมั่งคั่งระหว่างรุ่นสู่รุ่น เป็นมูลค่ารวมประมาณ 5.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้จัดการกองทุนในตลาด Private Markets หรือตลาดการลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ จะให้ความรู้แก่คนรุ่นใหม่ถึงบทบาทของสินทรัพย์เหล่านี้ในพอร์ตโฟลิโอการลงทุน รวมถึงศักยภาพในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ซึ่งจะสร้างประโยชน์ให้กับคนในรุ่นต่อๆ ไป

เพื่อรองรับโอกาสที่กำลังเติบโตดังกล่าว EQT จึงให้ความสำคัญกับการขยายกลยุทธ์ด้านการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคลเป็นพิเศษ โดยในปี 2566 ได้เปิดตัว “Nexus” ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดที่มีสภาพคล่องและไม่มีวันครบกำหนดอายุ (Semi-Liquid, Evergreen) สำหรับนักลงทุนรายบุคคล ผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ยังสามารถลงทุนในดีลเดียวกันกับกองทุนหลัก ‎(Flagship Fund)‎ ของ EQT ผ่านระบบของ Nexus ได้ ทำให้สามารถเข้าถึงการลงทุนที่มีคุณภาพในระดับสถาบัน พร้อมทั้งช่วยกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น 

ปัจจุบัน EQT ได้นำเสนอกลยุทธ์ด้านความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนผ่านพันธมิตรทั้งในประเทศไทย ฮ่องกง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย มาเลเซีย และไต้หวัน อีกทั้งยังเดินหน้าศึกษาโอกาสเพิ่มเติมในตลาดอื่นๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน เพื่อพัฒนาโอกาสตามกลยุทธ์การเติบโตโดยรวมของเราอีกด้วย

นอกจากนี้ EQT ยังเห็นความก้าวหน้าของตลาดทุนในภูมิภาคที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในหลายประเทศ เช่น อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกในการออกจากการลงทุน (Exit Options) ผ่านรูปแบบการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือการขายกิจการ

“เรามองว่าเอเชียไม่ได้เป็นเพียงภูมิภาคที่มีการเติบโตเท่านั้น แต่ยังเป็นตลาดที่กลยุทธ์การลงทุนของเรา โดยเฉพาะประเทศไทย ทั้งในด้าน Private Equity โครงสร้างพื้นฐาน และอสังหาริมทรัพย์ สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เหนือกว่าให้กับนักลงทุนของเรา” 

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากว่า 4% นับตั้งแต่ต้นปี 2568 นั้น “ซูแอน โยว” ระบุว่า เราต้องนำปัจจัยนี้มาพิจารณาในการเข้าลงทุนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เรามุ่งเน้นในการลงทุนระยะยาว และเราก็มีการดำเนินการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามความเหมาะสมมาโดยตลอด กลยุทธ์ของเรายังคงยึดหลักการกระจายการลงทุนทั้งในระดับภูมิภาคและระดับภูมิศาสตร์ เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่หลากหลายและไม่สัมพันธ์กัน

ปัจจุบัน EQT ลงทุนใน ไพรเวทอิควิตี้ โครงสร้างพื้นฐาน และอสังหาริมทรัพย์ โดยมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AuM) รวมกว่า 2.69 แสนล้านยูโร เราเป็นองค์กรการลงทุนระดับโลกอย่างแท้จริง โดยมีการลงทุนครอบคลุมทั้งสามภูมิภาคหลัก ได้แก่ ยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชียแปซิฟิก พร้อมสำนักงานมากกว่า 25 แห่งทั่วโลก โดย EQT เป็นนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและมีธีมการลงทุนที่ชัดเจน โดยส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ด้านเทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ การบริการ รวมถึงเทคโนโลยีการบริการ และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม

EQT ลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ล่าสุดคือ PropertyGuru ซึ่งมีบริษัทลูกในประเทศไทยชื่อว่า DDProperty โดย PropertyGuru เป็นแพลตฟอร์มประกาศขายอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ในสิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม และเป็นการซื้อกิจการครั้งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยี

ทั้งนี้ EQT มองว่าตลาด Private Markets‎ เป็นช่องทางที่น่าสนใจและมีศักยภาพสูงสำหรับการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว เนื่องจากมีการบริหารแบบเชิงรุก (Active Ownership‎) มีการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ และมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้น Private Markets เปิดโอกาสให้นักลงทุนลงทุนในระยะยาว ได้สนับสนุนบริษัทที่มีคุณภาพและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นทางเลือกลงทุน ที่ไม่สั่นไหวตามตลาด

นอกจากนี้ Private Markets ยังมีจุดเด่นในด้านการสร้างความสอดคล้องของผลประโยชน์ โดยทีมงานของ EQT จะลงทุนร่วมกับลูกค้า เพื่อให้ทุกฝ่ายมีเป้าหมายเดียวกันในการสร้างมูลค่าในระยะยาว มากกว่าการเน้นผลตอบแทนระยะสั้น องค์ประกอบทั้งหมดนี้ทำให้ตลาด Private Markets เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างความมั่งคั่ง โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่มั่นคง มีความเชื่อมั่นสูง และสามารถรับมือกับความซับซ้อนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มมากขึ้น

ขณะเดียวกัน EQT ได้ออกแบบแพลตฟอร์มการทำงานเพื่อรองรับโอกาสการเติบโตของเอเชียโดยเฉพาะ หลังจากที่ได้เริ่มลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตั้งแต่ปี 2540 และใช้แนวทางการลงทุนที่มีความเข้าใจในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง เราได้สร้างฐานการดำเนินงานในทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย พร้อมทีมงานกว่า 350 คน ใน 8 เมือง 

โดยหลักการทำงานแบบ “Local-with-Locals” ของเราไม่ใช่แค่เป็นสโลแกนของบริษัท แต่เป็นแนวทางการทำงานจริงที่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะซึ่งเปิดให้กับนักลงทุนที่ได้รับเลือกบางรายเท่านั้น และทำธุรกรรมข้ามพรมแดนที่มีความซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งทำงานร่วมกับบริษัทในพอร์ตโฟลิโออย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว

ทีมงานในแต่ละประเทศของเราร่วมมือกับทีมงานระดับโลกของ EQT ในการใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและความยั่งยืนร่วมพัฒนากิจการของบริษัท รวมถึงการทำงานกับเครือข่ายที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียและทั่วโลกมากกว่า 600 คน พร้อมด้วยเครื่องมือ AI ที่พัฒนาขึ้นโดย EQT มีชื่อว่า Motherbrain‎ 

เราจึงมั่นใจในศักยภาพของเราในการค้นหาและสร้างมูลค่าในบริษัทที่มีคุณภาพสูงทั่วทั้งเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้น

นับตั้งแต่การเริ่มก่อตั้ง EQT ในปี 2537 แนวทาง "More than Capital" หรือการลงทุนที่มากกว่าการลงทุนทางการเงินของเรา ได้ชี้นำให้ EQT ไม่เพียงมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทเพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดเท่านั้น แต่ยังมุ่งส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและการถือครองกิจการอย่างมีความรับผิดชอบ 

EQT เชื่อว่าการสร้างคุณค่าในระยะยาวต้องดำเนินควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เรามุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว แม้ว่าการเป็นเจ้าของบริษัทของเราได้สิ้นสุดลงแล้วก็ตาม EQT ยังได้กำหนดเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลาย และนำดัชนีชี้วัดผลการดำเนินงาน (KPIs) ที่เชื่อมโยงกับ ESG มาใช้ในการติดตามผลของพอร์ตการลงทุน 

โดยทีมงานด้านความยั่งยืนของ EQT ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมากที่สุดในอุตสาหกรรมด้าน Private Markets เมื่อประกอบกับเครือข่ายของผู้เชี่ยวชาญและความเข้าใจในการทำงานในแต่ละตลาดอย่างลึกซึ้ง เราเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยสร้างมูลค่าการเติบโตในระดับทวีคูณให้ทั้งบริษัทในพอร์ต นักลงทุนของเรา และชุมชนที่เราร่วมดำเนินงาน

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา