“สันติธาร” ชี้ไทยต้องปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก
“สันติธาร” แนะเร่งปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ชี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม ไทยจำเป็นต้องปรับเชิงกลยุทธ์ เพื่อความอยู่รอดและการเติบโตอย่างยั่งยืน
ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษาด้าน Future Economy ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI เตือนว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเศรษฐกิจโลก ที่อาจไม่ใช่เพียงภาวะชะลอตัวชั่วคราว แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ "ยุคใหม่" อย่างถาวร
ในบทความที่เผยแพร่ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ดร.สันติธารเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันว่า "หลายคนมองว่าเศรษฐกิจโลกเพียงแค่ 'ป่วย' อเมริกากับจีนทะเลาะกัน ทำให้การค้าหดตัว และเชื่อว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่แค่นั้น"
ยุคทองของโลกาภิวัตน์กำลังจบลง
ดร.สันติธารชี้ให้เห็นว่า ช่วงปี 1970 ถึง 2008 คือ "ยุคทอง" ของโลกาภิวัตน์ที่มูลค่าการค้าโลกเติบโตเร็วกว่า GDP โลกเกือบสองเท่า สัดส่วนการค้าทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากประมาณ 25% ของ GDP โลก เป็นมากกว่า 50% ในช่วงเวลาดังกล่าว
"ในยุคนั้น ประเทศขนาดไม่ใหญ่อย่างไทยสามารถเชื่อมตัวเองเข้ากับเศรษฐกิจโลก เป็นส่วนหนึ่งของสินค้าที่คนทั้งโลกใช้ ทั้งการส่งออกอาหาร ชิ้นส่วนรถยนต์ จอทีวี เมนบอร์ดคอมพิวเตอร์ ฯลฯ จนเติบโตอย่างก้าวกระโดด" ดร.สันติธารกล่าว
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2011 หลังวิกฤตการเงินโลก (วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์) กระแสโลกาภิวัตน์เริ่มชะลอตัวลง ก่อนที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น บางคนเรียกยุคนี้ว่า "Slowbalisation" หรือการชะลอตัวของโลกาภิวัตน์
จากการ "ป่วย" สู่การ "เปลี่ยนวัย"
ประเด็นสำคัญที่ ดร.สันติธารต้องการสื่อคือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจไม่ใช่เพียงการชะลอตัวชั่วคราว แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ของเศรษฐกิจโลกอย่างถาวร เปรียบเสมือนการเปลี่ยนวัยของมนุษย์ที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้
"การค้าโลกอาจไม่ได้ตายจาก แต่กำลังเข้าสู่เฟสใหม่ที่มีพรมแดน รั้ว กำแพง และต้นทุนใหม่ๆ กำลังค่อยๆ ปรากฏ" ดร.สันติธารระบุ
ไทยต้องปรับตัวรับมือความท้าทายใหม่
ดร.สันติธารเน้นย้ำว่า ถ้าเรายังติดอยู่กับความคิดว่าเศรษฐกิจโลกเพียงแค่ "ไม่สบายชั่วคราว" และรอให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทั้งธุรกิจ คนทำงาน และผู้นำประเทศ อาจจะเสียโอกาสในการปรับตัวและไม่สามารถรับมือกับความท้าทายใหม่ได้ทันท่วงที
"นี่เป็นคำถามใหญ่มาก และผลกระทบจะเกิดกับเกือบทุกธุรกิจ ไม่ใช่แค่กลุ่มที่ส่งออกไปอเมริกา เพราะทุกคนต่างก็หาลูกค้าใหม่ ตลาดใหม่ การแข่งขันทางธุรกิจแย่งลูกค้าก็จะเข้มข้นขึ้นแม้ในประเทศไทยเอง" ดร.สันติธารกล่าว
แนวทางรับมือกับยุคใหม่
ดร.สันติธารได้เสนอแนวทางสำหรับการปรับตัวในยุคใหม่ ดังนี้
-การแสวงหาตลาดใหม่ๆ มีความสำคัญมากขึ้น
-การเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียนจะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น ทั้งในระดับรัฐและเอกชน
-การลงทุนพัฒนาตนเอง องค์กร และประเทศ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับบริบทใหม่ของโลก
"ทั้งหมดต้องเริ่มจากการยอมรับว่าเรากำลังเข้าเฟสใหม่ของโลกที่เราอาจยังไม่ค่อยรู้จัก ที่การรอให้ผ่านไป อาจไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป" ดร.สันติธารกล่าวทิ้งท้าย


