posttoday

สบน. เล็งออกบอนด์ออมทรัพย์ 4 หมื่นล้านบาท มี.ค.67

20 กุมภาพันธ์ 2567

สบน. เตรียมออกขายออมทรัพย์ ล็อตแรกวงเงิน 4 หมื่นล้านบาท ในเดือนมี.ค.นี้ พร้อมเตรียมสรุปแผนออกพันธบัตรสกุลเงินต่างประเทศ ขายต่างชาติ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หวังสร้างอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยให้ภาคเอกชน

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมออกพ้นธบัตรออมทรัพย์ (Saving Bond) ล๊อตแรกวงเงิน 40,000 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งหมด 100,000 ล้านบาท เพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป โดยคาดว่าจะมีระยะเวลา 5 ปี และ 10 ปี โดยวัตถุประสงค์หลัก เพื่อบริหารการเงินการคลังของภาครัฐ ถือเป็นเครื่องมือในการระดมทุนของรัฐบาลที่หลากหลาย และยังเป็นการ Rollover ด้วย  โดยเฉพาะ การซื้อผ่าน  App เป๋าตัง คาดว่าจะออกขายได้ในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้

 

นอกจากนี้ ขณะนี้สบน.อยู่ระหว่างการศึกษาความคุ้มค่าของการออกพันธบัตร ในรูปแบบเงินตราต่างประเทศ หลังจากที่ไทยไม่ได้ออกพันธบัตรดังกล่าวมานานกว่า 20 ปี โดยได้มีการศึกษาสกุลเงินไว้ในหลายๆ สกุลเงิน ได้แก่ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ, หยวน, และซามูไรบอนด์ แต่เบื้องต้นคาดว่า มีความเป็นไปได้มากว่าจะออกในรูปเงินสกกุลดอลลาร์สหรัฐมากที่สุด และคาดว่าจะออกในวงเงิน 500-1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือไม่เกิน 4 หมื่นล้านบาท ในช่วงเดือนมี.ค.2567 นี้ วงเงิน 40,000 ล้านบาท 

 

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า การออกพันธบัตรต่างประเทศ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งข้อดี คือ ใช้เป็นตัวบริหารความเสี่ยง และสามารถเป็นมาตรฐานในการอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยให้ภาคเอกชนไทยไปกู้ต่างประเทศ 

 

ขณะที่ข้อเสีย คือ  อัตราดอกเบี้ยในประเทศต่ำ และ สบน. มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน  และต้นทุนการกู้เงินในสกุลต่างประเทศอยู่อาจอยู่ในระดับสูงกว่ากู้ในประเทศ โดยปัจจุบันไทยมีหนี้สาธารณะสกุลเงินตราต่างประเทศคงค้างที่ 1.4% ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด โดยวงเงิน 4 หมื่นล้านบาทที่ออกไปก็ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการออกพันธบัตรภาครัฐที่ปีละราว 9 แสนล้านบาท

 

ส่วนข้อดี คือ เป็นตัวบริหารความเสี่ยง เพราะไม่ได้แย่งเงินกู้ในตลาดต่างประเทศอย่างเดียว เนื่องจากภาครัฐกู้เงินมากที่สุด ดังนั้นเมื่อออกสูต่างประเทศขยายหาตลาดกู้เงินได้มากขึ้น และการใช้เป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงให้ภาคเอกชน อาจทำให้ต้นทุนการระดมทุนที่แพงขึ้น เนื่องจากไทยไม่ได้ออกมา


 

 

“ขณะนี้สบน.อยู่ระหว่างการศึกษาตามนโยบายว่า การที่จะออกจะต้องคุ้มค่า คือ ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแน่ ต้นทุนสูงกว่าที่ออกในประเทศ แต่แลกมาด้วยอัตราผลตอบแทนอ้างอิงในการทำธุรกรรมซื้อ คืนพันธบัตร ขณะเดียวกันทำให้ต้นทุนภาคเอกชนได้ในอัตราที่เป็นธรรมมากขึ้น ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเขามีเคอร์เรนซีบอนด์หมด” นายพชร กล่าว

 

สำหรับหลักการพิจารณา จะพิจารณาจากปัจจัย ประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ  ข้อจำกัด ความเสี่ยง รวมทั้งข้อกฎหมาย ซึ่งคาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ภายใต้วงเงิน 500 - 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เบื้องต้นได้พูดกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) แล้ว  หากแล้วเสร็จ สบน. จะเสนอไปที่รมว.คลังให้พิจารณา และส่งต่อไปที่ประชุม ครม. พิจารณาต่อไป 


ส่วนที่มีข่าวบิดเบือนที่ระบุว่า การออกพันธบัตรสกุลเงินต่างประเทศจะทำให้เกิดการโจมตีค่าเงินนั้น ได้มีการแจ้งไปแล้วว่าเป็นข่าวเฟคนิวส์ เพราะปัจจุบันยังไม่ได้บอกได้ว่าสามารถทำได้หรือไม่ ขณะที่วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าไม่มาก อย่างไรก็ตามหาผลการศึกษาออกมาพบว่า ไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ก็จะไม่ทำ ซึ่งออกเพื่อใช้เป็นเรทอ้างอิงของประเทศเท่านี้ ทั้งนี้ที่ผ่านมามีหลายแหล่ง เช่น แบงก์ต่าง เอดีบี ก็แสดงความสนใจซื้อเข้ามาแล้ว 

 

สำหรับแผนการก่อหนี้ใหม่ ปี 2567 เพิ่มขึ้น 560,276.10 ล้านบาท จากเดิม 194,000 ล้านบาท ยันยันว่า ไม่ได้มีส่วนเพิ่มจากการดำเนินโครงการ Digital Wallet โดยวงเงินที่ปรับเพิ่มขึ้น 560,000 กว่าล้านบาทนั้น ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ประมาณ 10% เป็นงบลงทุนรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในแผนงาน และอีก 90% เป็นของรัฐบาล ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้สำหรับขาดดุลไปพลางก่อน โดยยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นโครงการเก่าทั้งหมด และการปรับแผนจะดำเนินการทุกไตรมาสอยู่แล้ว

 

 

ข่าวล่าสุด

ครม. ทบทวน EV3 เพิ่มความยืดหยุ่น หนุนไทยสู่ฐานผลิต EV โลก