posttoday

"เศรษฐา" ปลุกใจ รัฐ-เอกชนปั้นทีมไทยแลนด์ จับมือโรดโชว์ดึงดูดนักลงทุน

04 ตุลาคม 2566

นายกฯ ประกาศเป็น เซลล์แมน นำรัฐ-เอกชน โรดโชว์เรียกความเชื่อมั่น ดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติ พร้อมขจัดกฎระเบียบขัดขวางการลงทุน ตั้งเป้า 3 เดือนผุดแผนแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งอย่างบูรณาการ หนุนความเชื่อมั่น- ดันรายได้เกษตรกรโต 3 เท่า

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษภายในงาน “Thailand Economic Outlook 2024 Change the Future Today” ภายใต้หัวข้อ “The Big Change: Empowering Thailand’s Economy” จัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 36 ปีหนังสือพิมพิ์กรุงเทพธุรกิจ ณ รร.วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ว่า ที่ผ่านมา หากเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยเป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนได้ช้ากว่ามาก สะท้อนได้จากตัวเลข ที่เป็นเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่ออกมาสู้นาๆประเทศไม่ได้ ซึ่งแต่ละยุคสมัยก็มีปัญหาแตกต่างกันไป

 

ภาคเกษตกร ซึ่งถือเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่กลับมีรายได้แบบชักหน้าไม่ถึงหลัง ที่ผ่านมาภาครัฐได้มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรด้วยการพักหนี้เกษตรกร โดยที่ผ่านมา  ภาครัฐพักหนี้เกษตกรมาแล้วทั้งหมด 13 ครั้งภายใน 9 ปี  แต่ปัญหาหนี้สินเกษตรกรก็ไม่ได้หายไป และหากไม่จำเป็นจริงๆ รัฐบาลจะไม่มีนโยบายประกันรายได้ หรือจำนำ หรือจ้างผลิต และจะส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้โตขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปีของรัฐบาลชุดนี้ ผ่านการสร้างองค์ความรู้ การเปิดตลาดใหม่ ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ เพราะประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางอาหาร ดังนั้น จะต้องสนับสนุนองค์ความรู้ที่ดี เพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า 

 

ทั้งนี้ เชื่อว่าเกษตรกรเอง ไม่ได้มีความต้องการที่จะพักหนี้ แต่ต้องการให้รัฐบาลขจัดปัญหา น้ำท่วม และ น้ำแล้งหมดไป เพื่อให้ภาคเกษตรมีผลิตผล มีรายต่อไร่เพิ่มขึ้น สามารถจ่ายหนี้ได้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นมองว่า หากประเทศหมดปัญหาน้ำ จะทำให้เศรษฐกิจไปได้ไกลกว่านี้มาก ดังนั้นจากนี้สิ่งที่ภาครัฐควรทำ คือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเรื่องน้ำทั้งระบบแบบบูรณาการ
 

 

“เร็วๆนี้ จะเรียก ส.ส.มาร่วมกันวางแผนในการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เพื่อไม่ให้ปัญหาน้ำกลับมาซ้ำเติมภาคเกษตรอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับน้ำในอนาคต ต้องทำเป็นแพ็คเก็จ หากเราลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสูง เงินจะไหลออกนอกประเทศหมด แต่หากเราลงทุนเรื่องน้ำประโยชน์ก็จะอยู่ในประเทศไทย 90% ถือเป็นเรื่องที่ต้องลงทุน ซึ่งจะทำให้จีดีพีประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬาร จากนี้จะลงพื้นที่หาข้อมูลเพิ่มเติม มั่นใจว่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นบวกได้ภาย 3 เดือน ”นายเศรษฐา กล่าว

 

ทั้งนี้ การบริหารจัดการน้ำว่า มีเสาหลักสำคัญ 4 เสา ทั้งน้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร และน้ำเพื่ออุตสาหกรรม ซึ่งน้ำเพื่ออุตสาหกรรมนี้ ยังเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และต้อใส่ใจให้มากกว่านี้ ซึ่งรัฐบาล ได้เชิญนักธุรกิจ ที่มีแผนจะมาลงทุนในประเทศไทยมาพูดคุย เพื่อให้รัฐบาลมีข้อมูลในการจัดการน้ำสำหรับภาคส่วนการผลิต หากรัฐบาลไม่สามารถให้ความมั่นใจกับนักลงทุนในเรื่องน้ำได้ จะเป็นปัญหาต่อการดึงดูดนักลงทุน 

 

“อยากให้มองตนเองเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง มีหน้าที่เป็นเซลล์แมน ขายสินค้าดีๆ ของประเทศ ขายความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศ ดังนั้น รัฐบาลยืนยันจะทำให้ได้ เพราะตนเองได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ ติดต่อกับบริษัทยักษ์ใหญ่ ทั้งไมโครซอฟท์ กูเกิ้ล เทสล่า และไมโครชิปอื่น ๆ มีรวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท รัฐบาลก็คาดหวังให้บริษัทเหล่านี้ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และยกระดับอุตสาหกรรมของไทย ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้จีดีพีสูงขึ้น” นายเศรษฐา กล่าว
 

 

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องกฎหมาย ที่มีความ ซับซ้อน ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจโดยง่าย ต่อไปรัฐบาลจะมีความจริงใจที่จะเแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ซึ่งจากการไปพบพูดคุยในหลายบริษัทดังกล่าวต่างประเทศ มีหลักการเจรจาที่เป็นสากล แต่หลักการของประเทศไทย ยังไม่เป็นสากล ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทลายกำแพงเหล่านี้ เพื่อเปิดประตูการแข่งขันอย่างเต็มที่ และเป็นภารกิจใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่ง 

 

“ย้ำว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะต้องเป็นหัวหอกสำคัญ เช่น การเจรา FAT  ควบคู่กับกระทรวงพาณิชย์ และรัฐบาล ในการติดต่อเจรจาความร่วมมือการค้า เพื่อเปิดประตูการค้าให้ได้มากยิ่งขึ้น ขณะที่เอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ ต้องพบกับนักลงทุน และเอกชนมากขึ้น รวมถึงรัฐบาล ต้องไม่กลัวต่อการเจรจา เพื่อให้ทุกคนเป็นทีมไทยแลนด์ สร้างความมั่นใจกับนักลงทุน ช่วยกันเจรจา เพื่อเป็นบริบทใหม่ของการทำงานรัฐบาลนี้” นายเศรษฐา กล่าว 

 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้มีการพูดคุยถึงตลาดหลักทรัพย์ไทย ที่มีความแข่งแกร็งมากที่สุดในภูมิภาค ดังนั้น ประเทศไทย จึงจะต้องเป็นศูนย์กลาง นำบริษัทต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทย และพบปะกับเวทีต่างชาติมากขึ้น เพื่อช่วยกันส่งสัญญาณว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่เหมาะสมแก่การลงทุน ดังนั้น หลังจากนี้ การนำเสนอประเทศไทย จะต้องไม่นำแค่บริษัทไป Road Show แต่จะต้องนำประเทศไป Road Show ทั้งยุโรป อเมริกา และทั่วทุกภูมิภาค เพื่อนำเสนอต่อนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย 

 

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงพลังงานสะอาด(Green Energy) ว่า เป็นเรื่องสำคัญ และประเทศไทยยังต้องมีการพัฒนาให้เกิดขึ้นในประเทศอีกมาก เพราะจากการเดินทางไปต่างประเทศ นานาชาติต่างให้ความสำคัญต่อพลังงานสะอาด ขณะที่สถาบันการเงินบางแห่ง ไม่ให้ความช่วยเหลือบริษัทที่ใช้พลังงานแบบดั้งเดิมในอดีต ดังนั้น รัฐบาล จะต้องพัฒนา และสร้างความเปลี่ยนแปลงในประเทศ เพื่อให้เป็นประเทศเป้าหมายสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ 

 

“ยอมรับว่า เรื่องพลังงานสะอาดเป็นโจทย์ที่ยาก เพราะประเทศต้องเดินหน้าพลังงานสะอาดซึ่งเป็นโอกาสและกระแสของโลก ขณะเดียวกันต้องให้ความช่วยเหลือบริษัทที่ยังคงใช้พลังงานดั้งเดิมภายในประเทศด้วย เพราะถือเป็นต้นน้ำในอดีตที่ช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจไทยในอดีต ซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับตัว” นายเศรษฐา กล่าว 

 

สำหรับภาคท่องเที่ยว การจัดนิทรรศการ หรืองานระดับโลกนั้น มั่นใจว่า ประเทศไทยมีความพร้อมมาก แม้จะมีข้อจำกัดด้านกฎหมาย หรือข้อบังคับต่าง ๆ ที่กระทบต่อการท่องเที่ยว เช่น สถานบันเทิงที่ไม่สามารถเปิดบริการได้ถึงเที่ยงคืน แต่ก็มีการลักลอบเปิดให้บริการนักท่องเที่ยว ก็จะกลับมาคิดว่า เวลาที่เปิดบริการตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวหรือไม่ หรือต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหา เพื่อให้สามารถรองรับกับความต้องการหรือ การแข่งขันกับเมืองท่องเที่ยวของประเทศอื่น ๆ เช่น การขยายเวลาเปิดบริการ ควบคู่กับการปรับระบบภาษีต่าง ๆ เพื่อทำให้ประเทศดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลเตรียมพร้อมแล้ว สำหรับนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยว นอกเหนือจากการยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีน เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว เป็นจุดหมายปองของต่างชาติ โดยยอมรับว่า หลายนโยบายมีทั้งข้อดี และข้อเสีย แต่ก็ขอให้มีการนำเสนอทั้ง 2 ด้าน ตรงไปตรงมา และสร้างสรรค์