posttoday

“ภูมิธรรม” ถือฤกษ์ 7 ก.ย. เข้าก.พาณิชย์ วันแรก

07 กันยายน 2566

ภูมิธรรม รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ พร้อมด้วย รมช. เยือนกระทรวงวันแรก สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประกาศเร่งแก้ปัญหาปากท้อง ลดค่าครองชีพทันที ปัดตอบ รื้อนโยบายจำนำข้าวมาใช้อีกหรือไม่

วันนี้(7ก.ย.66) เวลา 8.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะเดินทางเข้ากระทรวงวันแรก เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง และจะพบปะกับผู้บริการกระทรวง และสื่อมวลชนอย่างไม่เป็นทางการ 

 

โดยนาย ภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการแบ่งงาน กับรมช. หรือมอบนโยบายใดๆ เพราะต้องรอแถลงนโยบายให้แล้วเสร็จก่อน ซึ่งวันนี้จะเป็ฯเพียบงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างไม่เป็นทางการก่อน โดยจะเร่งแก้ไขปัญหาปากท้อง ดูแลราคาสินค้า เพื่อลดค่าครองชีพประชาชนก่อน และต้องทำให้ผู้ประกอบการอยู่ได้ด้วย ส่วนปัญหาการส่งออกที่ติดลบหลายเดือนติดกันนั้น หน่ยวยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆ มากขึ้น เช่นการหาตลาดใหม่ๆ เจรจากรอบการค้าต่างๆ ลดอุปสรรค์ทางการค้าให้เพิ่มขึ้น

 

ส่วนจะนำโครงการรับจำนำข้าวกลับมาใช้อีกหรือไม่ ยังไม่ขอตอบในประเด็นนี้ แต่ส่วนตัวยอมรับว่า โครงการจำนำข้าวมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่จะพิจารณาตามความเหมาะสม ว่าอะไรที่เป็นประโยชย์กับประชาชน ก็พร้อมที่จะดำเนินการ

 

ส่วนที่มีเสียงวิจารณ์ ต่อคำแถลงนโยบายที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 11 ก.ย.นี้ ที่ไม่ได้บรรจุนโยบายหลายนโยบายทีหาเสียงไว้กับประชาชนหลายเรื่อง เช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า หากบรรจุนโยบายทุกอย่างในคำแถลง ต้องใช้เวลาหลายวันถึงจะอภิปรายได้ครบถ้วน จึงใส่ไว้เพียงนโยบายหลักๆเท่านั้น ซึ่งพร้อมชี้แจ้งเพิ่มเติมกับรัฐสภาฯต่อไป โดย ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยไม่เคยผิดคำสัญญาที่หาเสียงไว้กับประชาชน

 

เช่นเดียวกับนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ที่ยังคงเดินหน้า โดยจะใช้ช่องทางบล็อกเชน ในการจ่ายเงินให้กับประชาชน และยังให้สังคมได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวด้วย

 

ทั้งนี้ คาดว่าในวันที่ 14 ก.ย. 2566 เวลา 9.00 น. นายภูมิธรรม รมว.กระทรวงพาณิชย์  จะมอบนโยบายผู้บริหารกระทรวงอย่างเป็นทางการ พร้อมพบปะสื่อมวลชนและภาคเอกชนในช่วงบ่าย เพื่อรายงานถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การค้า เพื่อกำหนดทิศทางบริการเศรษฐกิจอีกครั้ง