แกะกล่อง 6 เมืองอัจฉริยะใหม่ คาดสร้างประโยชน์คนพื้นที่ 1.8 ล้านคน
คณะอนุฯขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ เคาะเพิ่ม 6 พื้นที่ สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะประเทศไทย ดันจำนวนเมืองอัจฉริยะไทยเพิ่มเป็น 36 พื้นที่ ใน 25 จังหวัด พร้อมเสนอชื่อ ขอนแก่น เชียงใหม่ ระยอง เป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน
การผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ สมาร์ท ซิตี้ ต้องเริ่มทำจากพื้นที่เมืองในจังหวัดต่างๆ โดยที่ผ่านมาประเทศไทยมีเมืองที่ได้รับตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะ 30 พื้นที่ โดยต้องมีแผนการจัดทำระบบบริการประชาชนให้ตอบโจทย์ใน 7 Smarts ได้แก่ 1. สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) 2.การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) 3. การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) 4.พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) 5.พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) 6. เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) 7.การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance)
ดังนั้น เมืองอัจฉริยะต้องมีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยและชาญฉลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการและการบริหารจัดการเมือง ลดค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากรของเมืองและประชากรเป้าหมาย โดยเน้นการออกแบบที่ดี และการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและภาคประชาชนในการพัฒนาเมือง ภายใต้แนวคิดการพัฒนา เมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขอย่างยั่งยืน
เปิด 6 พื้นที่ใหม่ สู่เมืองอัจฉริยะ
ล่าสุด คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ จึงได้เห็นชอบเพิ่ม 6 พื้นที่ ใน 6 จังหวัด ส่งผลให้ประเทศไทยจะมีพื้นที่ที่ได้รับการรับรองเป็นเมืองอัจฉริยะรวม 36 พื้นที่ ใน 25 จังหวัด เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่รวมไม่น้อยกว่า 1,800,000 คน จากนั้นจะนำเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะรับทราบ ก่อนเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
สำหรับเมืองอัจฉริยะใหม่ 6 พื้นที่ ประกอบด้วย
1.ลำปางเมืองอัจฉริยะ จังหวัดลำปาง ผู้พัฒนาเมือง สำนักงานจังหวัดลำปาง จำนวนประชากร 401,464 คน ต้องการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ภายใต้แนวคิด ลำปางเมืองน่าอยู่ด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ชุมชนวัฒนธรรมทันสมัย สู่นครแห่งความสุข ใช้งบประมาณภาครัฐ 159 ล้านบาท งบประมาณจากเอกชน 30 ล้านบาท รวมงบประมาณทั้งสิ้น 189 ล้านบาท
2. สมุทรปราการสมาร์ทซิตี้ จังหวัดสมุทรปราการ ผู้พัฒนาเมือง สำนักงานจังหวัดสมุทรปราการ จำนวนประชากร 1,351,479 คน ต้องการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ภายใต้แนวคิด เศรษฐกิจดิจิทัล ชีวิตสะดวกมีคุณภาพ เสริมสร้างความรู้ บ้านเมืองสะอาดปลอดภัย และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณภาครัฐ 268.4 ล้านบาท
3. เทพราชเมืองอัจริยะ จังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้พัฒนาเมือง เทศบาลตำบลเทพราช จำนวนประชากร 1,414 คนต่อ ตร.กม./วัน ต้องการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ภายใต้แนวคิด การมีโครงสร้างพื้นฐานทั่วถึง คุณภาพชีวิตได้มาตรฐาน การศึกษาเท่าเทียมและเป็นเลิศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ พัฒนาสู่เมือง SMART CITY รองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และสุวรรณภูมิ ใช้งบประมาณภาครัฐ 39.62 ล้านบาท
4.นิคมพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (เดิม มาบข่าเมืองอัจฉริยะ) จังหวัดระยอง ผู้พัฒนาเมือง เทศบาลตำบลนิคมพัฒนา จำนวนประชากร 10,835 คน ต้องการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ภายใต้แนวคิด การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมภาครัฐ เพื่อบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี มุ่งสู่พัฒนาเมืองอัจฉริยะ ใช้งบประมาณภาครัฐ 887.41 ล้านบาท
5. เมืองไตยองบวกค้างสมาร์ทซิตี้ จังหวัดเชียงใหม่ ผู้พัฒนาเมือง เทศบาลตำบลบวกค้าง จำนวนประชากร 10,168 คน ต้องการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ภายใต้แนวคิด มุ่งพัฒนาชุมชนนวัตวิถี สู่ไตยองบวกค้างสมาร์ตซิตี้ ใช้งบประมาณภาครัฐ 47.54 ล้านบาท ใช้งบประมาณเอกชน 10.59 ล้านบาท รวมใช้งบประมาณทั้งสิ้น 58.13 ล้านบาท
6.เทศบาลนครศรีธรรมราชเมืองอัจฉริยะ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้พัฒนาเมือง เทศบาลนครนครศรีธรรมราช จำนวนประชากร 100,174 คน ต้องการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ภายใต้แนวคิด เมืองนครน่าอยู่ สู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นเลิศอย่างยั่งยืน ใช้งบประมาณภาครัฐ 10,810 ล้านบาท ใช้งบประมาณเอกชน 2,901 ล้านบาท รวมใช้งบประมาณทั้งสิ้น 13,711 ล้านบาท
ดัน 3 เมือง สู่สมาชิกเมืองอัจฉริยะอาเซียน
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการผลักดันเมืองที่ได้รับการประกาศเป็นเมืองอัจฉริยะสู่เครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน หรือ ASEAN Smart Cities Network (ASCN) จากเดิมที่ประเทศไทยมีเมืองที่เป็นสมาชิก ASCN แล้ว 3 เมืองคือ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต โดยในการประชุมเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ณ บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
ประเทศไทยได้เสนอชื่อเมืองเพื่อเป็นสมาชิกเพิ่มเติม 3 เมือง ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น เชียงใหม่ และระยอง ทำให้ปัจจุบัน ASCN มีสมาชิกรวม 29 เมือง ซึ่งเครือข่ายนี้จะเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการเมือง และขยายโอกาสความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรอื่น ๆ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี และออสเตรเลีย
เมืองอัจฉริยะต้องเปิดโอกาสเอกชนลงทุน
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า เมืองที่จะได้รับตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทยต้องมีแผนการจัดทำระบบบริการประชาชนให้ตอบโจทย์ใน 7 Smarts อาทิ สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ เศรษฐกิจอัจฉริยะ การดำรงชีวิตอัจฉริยะ เป็นต้น และมีแผนการจัดทำ City Data Platform เพื่อรวบรวมข้อมูลของเมืองที่มีประโยชน์ต่อการบริหารจัดการและจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินการจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ ‘ประชาชน’
ดังนั้นผู้พัฒนาเมืองจะต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ร่วมขับเคลื่อน เนื่องจากภาคเอกชนจะได้รับสิทธิประโยชน์จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะเมื่อเมืองนั้น ๆ ได้รับการประกาศเป็นเมืองอัจฉริยะ
สร้างนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่
ด้านนายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า ดีป้า โดย สำนักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการยกระดับขีดความสามารถแก่บุคลากรที่มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ซึ่งปีนี้ ดีป้า สามารถสร้างนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ (Smart City Ambassadors) รวม 134 คน ให้มีโอกาสทำงานจริงเพื่อพัฒนาภูมิลำเนาของตนเอง
นอกจากนี้ยังมีโครงการอบรมผู้บริหารผ่านหลักสูตรผู้นำการส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ (The Smart City Leadership Program: SCL) ซึ่งจัดมาแล้ว 3 รุ่น มีผู้นำจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมอบรมรวมกว่า 140 คน รวมถึงการมอบรางวัลแก่เมืองที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในระบบบริการประชาชน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะต้องให้บริการมาแล้วอย่างน้อย 6 เดือน ผ่านกิจกรรม The Smart City Solutions Awards 2023 รางวัลเชิดชูเกียรติและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน โดยมีกำหนดมอบรางวัลในงาน Thailand Smart City Expo 2023 ระหว่างวันที่ 22 – 24 พ.ย.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


