สศค.หั่นเป้าจีดีพีปี66 อยู่ที่ 3.5% หลังท่องเที่ยวจีนลดลงกว่าคาด
สศค. ปรับลดจีดีพีเศรษฐกิจไทยปี 66 อยู่ที่ 3.5% จากเดิม 3.6% เหตุรายได้จากภาคท่องเที่ยวแผ่ว หลังนักท่องเที่ยวจีนหายไปมากกว่าคาด และส่งออกชะลอ ห่วงราคาน้ำมันกดดันเงินเฟ้อ-ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมิ.ย. 2566 ว่า สศค.ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2566 อยู่ที่ 3.5% ลดลงจากคาดการเดิมที่ 3.6% โดยมีสาเหตุจากรายได้ต่อคนต่อหัวต่อทริปลดลง ส่งผลให้รายได้การท่องเที่ยวปรับตัวลดลงอยู่ที่ 1.25 ล้านล้านบาท จาก 1.3 ล้านล้านบาท เนื่องจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมจะอยู่ที่ 29.5 ล้านคน นอกจานี้ ยังคาดว่า การส่งออกจะชะลดตัวลดลง 0.8%
"รายได้นักท่องเที่ยวรายจ่ายต่อคนต่อทริปลดลงกว่าที่คาด จากนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาไทยไม่มาก แต่ตอนนี้กลายเป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย ที่เข้ามามากแทน ซึ่งพบว่า มีค่าใช้จ่ายต่อไม่สูงมากเท่าของจีน ทำให้คาดการณ์ว่า รายได้ในปีนี้ลดลง 5 หมื่นล้านบาท หลือ 1.25 ล้านล้านบาท แต่จำนนวนรวมทั้งปียังเท่าเดิม"
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในเดือนมิ.ย.2566 ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศและคนไทยในประเทศ โดยภาคบริการด้านท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าไทยจำนวน 2.24 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 191.5% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 17.9% หลังจากมีมาตรการการผ่อนปรนมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ และยกเลิกระบบ Thailand Pass สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2565 ทำให้ยังคาดว่าทั้งปี 2566 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ 29.5 ล้านคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวน 1.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 243.8 จากปี 2565
โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจาก มาเลเซีย จีน อินเดีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศมี จำนวน 19.2 ล้านคน คิดเป็22.1%
ขณะที่การส่งออกของไทย เดือนมิ.ย.โดยติดลบ 5.1% เป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก มูลค่าการนำเข้าลดลง 2.5% แต่ทั้งปี คาดว่าจะขยายตัว 7.7% มีมูลค่า แม้จะมีปัจจัยขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งส่งผ่านไปยังต้นทุนของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
ด้านการบริโภคภาคเอกชน คาดว่าขยายตัวที่ 2.6% หรืออยู่ในช่วง 2.1% ถึง 3.1% จากความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มกลับมาดีขึ้นตามทิศทางของเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ดี การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มสหภาพยุโรปยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญของไทย จึงคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจะหดตัว 0.8% นอกจากนี้ การบริโภคภาครัฐคาดว่าหดตัวที่2.1% ในขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.2% โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ล่าช้ากว่าปีที่ผ่านมา
"ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และสูงสุดในรอบ 40 เดือน สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น รวมถึงความกังวลจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง"
ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพ.ค. 2566 อยู่ที่ 61.63 ต่อจีดีพี ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ในระดับสูงที่ 218.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่
1 ความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศหลัก ๆ เช่น จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย
2 สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ส่งผลต่อทิศทางเงินเฟ้อในประเทศ
3 สถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจจีน
4 ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและการค้าระหว่างประเทศ


