posttoday

เปิดกรณีศึกษา Otteri wash & dry ทำอย่างไรให้เป็น Smart SME

19 มิถุนายน 2566

Otteri wash & dry ชี้ธุรกิจ SME ไปต่อได้ ถ้าวิสัยทัศน์เริ่มต้นชัดเจน และใช้เทคโนโลยีเข้ามาแก้ Pain Point ได้อย่างเหมาะสม

คุณกวิน นิทัศนจารุกุล Chief Executive Officer และผู้ก่อตั้ง Otteri wash & dry บริษัท K-nex Corporation Co.,Ltd.  กล่าวในงานสัมนา PostToday Smart SME ยุค AI เขย่าโลก  ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ  ถึงประเด็นของการขับเคลื่อนธุรกิจในโลกยุคอนาคต ที่ต้องชัดเจนตั้งแต่วิสัยทัศน์  รู้จัก Pain Point ของตัวเองและนำเทคโนโลยีเข้ามาแก้ไขอย่างเหมาะสม รวมไปถึงร่วมพัฒนาสังคมเพื่อตอกย้ำวิสัยทัศน์ขององค์กรไปพร้อมๆ กัน

 

วิสัยทัศน์มุ่งเป้า ‘ชีวิตดีเริ่มได้จากการสวมใส่เสื้อผ้าสะอาด’

ผู้ก่อตั้ง Otteri wash&dry กล่าวว่าการกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจของบริษัทคือหน้าที่ของผู้บริหารที่ไม่ควรไปลอกชาวบ้านมา แต่เดิมเคยกำหนดไว้ว่าอยากจะอยากเป็นร้านสะดวกซักอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ความเป็นจริงคือไม่ได้อยากทำสิ่งนั้น เราไม่อยากเป็นอันดับหนึ่ง สุดท้ายจึงได้วิสัยทัศน์ที่เป็นตัวตนของตัวเองคือ  ‘Creating Healthy Lifestyle Community  สร้างสรรค์สังคมที่สุขภาพดีด้วยเริ่มจากการสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด’ โดยมีพันธกิจคือการทำร้านสะดวกซักที่มีมาตรฐานสากล ให้สามารถเข้าถึงได้ในราคาประหยัดและเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของทุกชุมชน อีกทั้งร้านสะดวกซักยังสามารถช่วยเรื่อง ‘ความเหลื่อมล้ำ’ โดยช่วยคนที่มีรายได้น้อยประหยัดเวลาที่ต้องเอามาแลกกับการซักผ้า ซึ่งการซักผ้านั้นก็ไม่ต่างจากการเข้าถึงสาธารณูปโภคต่างๆ

ทุกวันนี้ธุรกิจร้านสะดวกซัก Otteri wash&dry ในปัจจุบันมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง OR เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 40% และสามารถขยายสาขาไปได้มากกว่า 1,000 สาขา คุณกวินมองว่าธุรกิจร้านสะดวกซักยังไปต่อได้ เพราะเมื่อเทียบกับตลาดธุรกิจร้านสะดวกซักที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเริ่มทำธุรกิจมาก่อนประเทศไทยกว่า 8 ปี  พบว่า

ประชากรของประเทศมาเลเซียมีอยู่ 33 ล้านคน มียอดขายเฉลี่ยต่อสาขาอยู่ที่ 180,000 บาท และมีจำนวนคนใช้บริการ 3 ล้านคน คิดเป็น 10% ของประชากร โดยมีทั้งหมด 5,000 สาขาซึ่งใช้ระยะเวลาทำธุรกิจมานานกว่า 15 ปี

ในขณะที่ประเทศไทยมีประชากรอยู่ 71 ล้านคน  มียอดขายเฉลี่ย 150,000 บาทต่อสาขา และมีจำนวนคนใช้บริการ 1,875,000 คน คิดเป็นร้อยละ 2.64 ของประชากร แสดงว่าโอกาสในการเติบโตยังมีอีกมาก  โดยมีทั้งหมด 4,000 สาขา ภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี ทำให้ภาพรวมตลาด ร้านสะดวกซื้อในประเทศไทยเทียบกับมาเลเซีย มองว่าเติบโตเต็มที่ 10,000 สาขาในประเทศ และธุรกิจอยู่ในช่วงขาขึ้นและไม่อิ่มตัว

คุณกวินย้ำว่า ‘หากเราสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคได้ให้มากถึง 7% เท่ามาเลเซียก็จะมีโอกาสเติบโตมากขึ้น … การซักผ้าไม่ใช่เทรนด์ แต่เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการแก้ไข Pain point ของลูกค้า’

 

ธุรกิจซักผ้า ที่ไม่ได้ขายบริการซักผ้า แต่ขายการแก้ปัญหา

คุณกวินได้ให้ข้อมูลในประเด็นนี้ว่า จากงานวิจัยของกลุ่มตัวอย่าง 1,200 คน พบว่า 10 อันดับกิจกรรมที่คนไทยขี้เกียจมากที่สุดเป็นอันดับสามคือ การทำความสะอาดบ้าน ทุกวันนี้เราพบว่าคนไทยอาศัยอยู่ในบ้านที่มีขนาดเล็กลง และทุกคนทำงานหมด จะซักผ้าทีหนึ่งก็ซักแค่ตอนเสาร์อาทิตย์ เราเห็นว่าการซักผ้ามันน่าเบื่อ เหนื่อย เราเห็นว่าเมื่อก่อนคนซักผ้าฝาบนแล้วต้องแบกไปตาก ต้องแยกซักผ้าสีผ้าขาว เราเห็นว่าระบบบริการของเราสามารถเสียให้เรา 80 บาทแต่ประหยัดเวลา 4-8 ชั่วโมง

 

‘เพราะฉะนั้น Otteri ไม่ได้ขายบริการซักผ้า แต่ขายการประหยัดเวลา’

 

นอกจากนี้ทาง Otteri wash&dry ยังใช้ AI เข้ามาแก้ไขปัญหาของลูกค้าในด้านต่างๆ อาทิ การใช้ระบบ AI ที่สามารถดู Laundy Tag ของเสื้อผ้าได้ เพื่อบอกว่าผ้าของลูกค้าที่จะนำมาซักสามารถอบได้หรือไม่ หรือควรซักด้วยระบบอะไร รวมไปถึงแอปพลิเคชั่นที่เข้ามาช่วยเหลือเรื่องการจ่ายเงิน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่ชินกับสังคมไร้เงินสดมากขึ้น รวมไปถึงช่วยลดต้นทุนการเก็บเงินของธุรกิจลงจากเดิมที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายกว่า 15% ลดลงเหลือเพียง 3% โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานแอปพลิเคลั่นซึ่งเป็น Active User ถึง 148,477 คน

 

CSR ต้องไม่หนีไปจากตัวตนและวิสัยทัศน์

 

‘ เราเปิดบริษัทขึ้นมาเรื่อง ชูมณี ทำเรื่องของคนขึ้นมา 3 กลุ่ม’

 

คุณกวินกล่าวว่าทางบริษัทได้ทำ CSR สำหรับคนสามกลุ่มโดยเฉพาะ กลุ่มแรกคือกลุ่มผู้สูงอายุ ฐานะยากจน และการศึกษาไม่สูงมากนัก จะเรียกว่าป้าชู โดยจะรับมาทำงานคอยบริการที่ร้านและคอยพับผ้าให้

กลุ่มคนที่ 2 คือกลุ่มคนไร้บ้านและคนจนเมือง ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงาและกทม. มีโครงการที่จะเอารถซักผ้าและอาบน้ำได้ ไปให้บริการคนไร้บ้านใต้สะพานปิ่นเกล้า เพราะอยากจะย้ำว่าคนสุขภาพดีเริ่มจากการใส่เสื้อผ้าสะอาด เพื่อลดความเท่าเทียม และคืนคุณค่าความเป็นคนให้แก่กลุ่มคนเหล่านี้

กลุ่มสุดท้ายคือ การทำทำงานกับกรมราชทัณฑ์ สอนเกี่ยวกับการฝึกอาชีพด้านธุรกิจซักอบรีด ให้กลุ่มคนที่กำลังจะได้พ้นโทษ เพื่อให้เขามีอาชีพหลังจากที่ออกมา

 

‘นี่คือทั้งหมดที่เราสร้างขึ้นเพื่อการพัฒนาสังคม และตอกย้ำหัวใจและพันธกิจของบริษัท เราไม่ได้อยากเป็นแค่ร้านสะดวกซัก แต่อยากเป็นร้านที่ให้โอกาสแก่คนที่ยังขาดโอกาส และเป็นร้านสะดวกซักแห่งการแบ่งปัน และเชื่อมโยงผู้คนในสังคมต่อไป’

 

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2