posttoday

เผยสถานการณ์ผู้บริโภค ปี 65 พบถูกแอปพลิเคชันกู้เงินออนไลน์หลอกลวง อันดับ 1

20 ธันวาคม 2565

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยสถานการณ์ผู้บริโภค ปี 65 พบปัญหาการเงินการธนาคาร ถูกแอปพลิเคชันกู้เงินออนไลน์หลอกลวงผู้บริโภค พุ่งอันดับ 1

 

เผยสถานการณ์ผู้บริโภค ปี 65 พบถูกแอปพลิเคชันกู้เงินออนไลน์หลอกลวง อันดับ 1

 

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) เปิดเผยสถานการณ์ผู้บริโภคของปี 2565  ได้รับเรื่องร้องเรียนตั้งแต่  1 มกราคม - 30 พฤศจิกายน 65 โดยที่ผ่านมา มพบ. ได้ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค ทั้งหมด  2,090  ราย ซึ่งได้แบ่งปัญหาของผู้บริโภคออกเป็น 9  ด้าน ได้แก่

 

1. การเงินการธนาคาร ประกัน  2.  สินค้าและบริการทั่วไป  3.  สื่อและโทรคมนาคม  4. บริการสุขภาพ  5. อาหาร ยา เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ  6.  บริการขนส่งและยานพาหนะ 7.  อสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย  8. พลังงานและสิ่งแวดล้อม 9. อื่นๆ

 

ปัญหาที่ผู้บริโภคได้รับผลกระทบและร้องเรียนมากเป็นอันดับหนึ่งของปี 2565 คือ การเงินการธนาคาร ประกัน รวม 487 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 23.3 %  รองลงมา คือ ปัญหาด้านสินค้าและบริการทั่วไป รวม  415   เรื่องคิดเป็นร้อยละ  19.9 % และอันดับที่ 3  คือ ปัญหาด้านสื่อและโทรคมนาคม รวม  378  เรื่อง คิดเป็นร้อยละ  18.1 %
 

 

สำหรับปัญหาด้านการเงินการธนาคาร ที่พบมากที่สุด คือ  ถูกแอปพลิเคชันกู้เงินออนไลน์หลอก ซึ่งมีทั้งกรณีหลอกให้กู้แล้วได้เงินจริงแต่เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และกรณีกู้เงินแต่ไม่ได้เงินแต่กลับต้องเสียเงิน ปัญหาหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และเช่าซื้อรถยนต์ และกรณีประกันภัยปัญหา การเคลมค่าสินไหมล่าช้า

 

ขณะที่ปัญหาด้านสินค้าและบริการทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาการซื้อสินค้าออนไลน์ได้แก่ ปัญหาสินค้าชำรุดบกพร่อง สินค้าไม่ตรงปก โฆษณาเกินจริง โดยสินค้าส่วนใหญ่ที่ได้รับการร้องเรียนจะเป็นสินค้าประเภทเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และสถานเสริมความงาม ที่ไม่สามารถบอกเลิกสัญญาได้

 

ส่วนปัญหาด้านสื่อและโทรคมนาคม ประเด็นปัญหาที่พบมากที่สุด อันดับ  1.SMS สินเชื่อ 2.กู้เงินออนไลน์  3. SMS พนันออนไลน์  4. SMS รบกวน  5.โทรศัพท์ให้กู้เงิน 6.SMS หลอกหลวง/โอนเงินเข้าบัญชี

 

ปัญหาด้านบริการสุขภาพ เช่น การตรวจสอบสิทธิการรักษา ปัญหาด้านอาหาร ยา เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ  เช่น  อาหารเสริมโฆษณาเกินจริง อาหารเสริมไม่มีอย.เจอสิ่งแปลกปลอมในอาหาร ร้านอาหารไม่สะอาด พบสารปนเปื้อนในอาหาร สินค้าหมดอายุ

 

ปัญหาด้านบริการขนส่งและยานพาหนะ เช่น การร้องเรียนแท็กซี่ไม่รับผู้โดยสาร  วินมอเตอร์ไซต์ขับรถไม่สุภาพ เรียกเก็บค่าบริการเกินจริง ระบบ M-flow คิดค่าปรับแพง สายการบินยกเลิกเที่ยวบิน  ไม่ยอมคืนเงินแก่ผู้โดยสาร ปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย  ร้องเรียนกรณีสร้างคอนโดไม่เสร็จตามสัญญาเมื่อยกเลิกสัญญาบริษัทฯกลับไม่ยอมคืนเงิน  ร้องเรียนอาคารสูงทำผิดกฎหมาย

 

ในส่วนปัญหาด้านเรื่องอื่นๆ เช่น ปรึกษากรณีควันกัญชาสามารถก่อความรำคาญ อาทิ กลิ่นรบกวน และอันดับสุดท้าย พลังงานและสิ่งแวดล้อม  ร้องเรียนเรื่องค่าไฟฟ้าสูงเกินจริง
 

 

โดยสถานการณ์ปัญหาในปี 2565 เป็นปัญหาต่อเนื่องจากปี 2564  คือปัญหาประกันเคลมค่าสินไหมล่าช้า และ ปัญหาการกู้เงินออนไลน์ที่เป็นปัญหาต่อเนื่องจาก sms  รบกวนที่ส่งลิงก์กู้เงิน และมีประชาชนที่หลงเชื่อกดลิงค์เข้าไปสมัครและถูกคิดดอกเบี้ยผิดกฎหมาย และ ปัญหาต่อเนื่องที่ยังดำเนินการช่วยเหลือต่อ เพราะมีผู้บริโภคได้รับความเสียหาย เช่น 

 

1. กรณีบริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) สร้างคอนโดไม่เสร็จตามสัญญาเมื่อยกเลิกสัญญาบริษัทฯกลับไม่ยอมคืนเงิน

 

2. ปัญหาการซื้อสินค้าออนไลน์  ที่ยังคงพบปัญหาต่อเนื่องและมีผู้เสียหายเพิ่มขึ้น   ตั้งแต่สินค้าชำรุดบกพร่อง และสินค้าไม่ตรงปก  และต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

 

3. ปัญหาการช่วยเหลือผู้เสียหายที่ซื้อสามล้อ   โครงการ สามล้อเอื้ออาทร ที่ 4 ปี คดียังไม่คืบหน้า

 

4. ปัญหาแก๊ง Call Center ที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค  และยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม  ผู้บริโภคยังพบปัญหา แก๊ง Call  Center  ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการหลอกลวงผู้บริโภค  เช่น  อ้างว่าเป็นตำรวจโดยให้ผู้บริโภคเปิดวิดิโอคอล และมิจฉาชีพจะใช้วิธีจัดสถานที่ให้ดูเหมือนเป็นสถานีตำรวจ  เป็นต้น

 

5. ปัญหาการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล  จากการที่ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าและการทำธุรกรรม ออนไลน์มากขึ้น ซึ่งในการสมัครใช้บริการ จะมีการให้ยืนยันตัวตนและยินยอมอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล และการผูกบัญชีธนาคารเพื่อซื้อสินค้า

 

เผยสถานการณ์ผู้บริโภค ปี 65 พบถูกแอปพลิเคชันกู้เงินออนไลน์หลอกลวง อันดับ 1

 

นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฝ่ายพิทักษ์สิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอต่อการแก้ไขปัญหาการทำธุรกรรมออนไลน์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลการประกอบธุรกิจ สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล (Digital Personal Loan) ดำเนินการ กำหนดสัญลักษณ์ให้กับผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต และกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตแสดงสัญลักษณ์ในเว็บไซต์/ แอปฯ ของผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบได้

 

อีกทั้งต้องให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหลักเกณฑ์การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคในการทำธุรกรรมออนไลน์ และมีบทกำหนดโทษกรณีที่มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต  และ ออกนโยบายกำกับ “การบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market conduct)” ให้ครอบคลุมช่องทางการให้บริการสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน

 

ส่วนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)  มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ขอให้ ออกมาตรการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล ให้ผู้ประกอบธุรกิจ มีมาตรการในการควบคุมผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ ในแพลตฟอร์ม ให้มีการคุ้มครองผู้บริโภคในการทำธุรกรรมออนไลน์ และควบคุมธุรกิจบนแพลตฟอร์มให้ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงสามารถตรวจสอบตัวตนของผู้ประกอบธุรกิจได้

 

สุดท้าย ขอให้กระทรวงดีอีเอส ธนาคารแห่งประเทศไทย กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการทำงานเชิงรุกร่วมกัน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต ผู้ประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินผิดกฎหมาย แอปพลิเคชันเงินกู้ผิดกฎหมาย รวมถึงการกระทำหรือพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายของผู้ประกอบธุรกิจ เช่น เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้กู้ไปเผยแพร่ เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตาม ในด้านการดำเนินงานด้านคดี  มูลนิธิฯ มองเห็นความสำคัญที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมโดยทั่วถึงกัน โดยไม่สร้างภาระให้กับผู้บริโภค แต่กลับพบปัญหากระบวนพิจารณาคดีของศาลที่ล่าช้า ที่อาจจะทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น การไต่สวนคำร้องคดีแบบกลุ่มกรณีการฟ้องสินค้าโฆษณาเกินจริง ใช้เวลาเกือบ 5  ปี ทั้งการใช้ระยะเวลานานในการดำเนินกระบวนพิจารณาที่น่าจะเป็นช่องว่างให้ผู้ประกอบการใช้วิธีการฟ้องคดีอาญาผู้เสียหายที่เป็นโจทก์เพื่อปิดปาก ทำให้ผู้เสียหายที่ซื้อสินค้าไม่ได้คุณภาพแล้ว ยังต้องเสียหายจากการถูกฟ้องจากผู้ประกอบธุรกิจอีก หรือกรณีคดีแบบกลุ่มเรื่องค่าโทรวินาทีปัดเศษ ที่ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ถูกละเมิดสิทธิทั้งที่มีหลักเกณฑ์ของ กสทช. กำหนดไว้

 

และผู้ประกอบธุรกิจทราบว่าต้องคิดตามหลักเกณฑ์นั้น แต่กลับถูกยกคำร้องการดำเนินคดีแบบกลุ่ม โดยศาลให้ความเห็นว่า ผู้บริโภคมีทางเลือก และไปใช้สิทธิในการดำเนินคดีได้ด้วยตัวเอง และการไม่รับเป็นคดีกลุ่มยังสร้างภาระให้กับผู้บริโภคที่ไม่มีทุนไปฟ้องคดีเอง  ความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรม ยังมีส่วนที่สามารถพัฒนาให้มีความเข้าใจผู้บริโภคและพฤติกรรมการบริโภคมากยิ่งขึ้นได้  จึงขอเสนอให้ มีการจัดเวทีรับฟังความเห็นจากองค์กรเครือข่ายผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป ต่อกระบวนการทำงานของศาลยุติธรรมต่อไป