ธปท.หนีไม่พ้นหั่นจีดีพีไทยติดลบแม้ลดดอกเหลือ0.25%
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาด กนง.ลดดอกเบี้ยเหลือ 0.25% และปรับลดจีพีพีติดลบ จากพิษไวรัสโควิด-19 ลามบานปลาย
ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อวัน 20 มีนาคม 2563 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการประชุมด่วนลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25% จาก 1% เหลือ 0.75% นั้น
ทาง ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดว่า ในการประชุมวันที่ 25 มี.ค. นี้ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.75% โดยคาดว่าจะเห็นการลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในไตรมาสที่ 2 และในไตรมาสที่ 3 ทำให้ ณ สิ้นปี อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 0.25% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ เพราะผลกระทบไวรัสโควิด-19 (COVID-19) รุนแรงกว่าที่คาดไว้มาก
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะลดสู่ระดับ 0% หรือติดลบ แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยอีกหลายส่วนที่ต้องพิจารณาประกอบ โดยนโยบายการคลังจะมีส่วนสำคัญในการช่วยพยุงเศรษฐกิจ และไม่ทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงไปสู่ระดับ 0% หรือติดลบ
นอกจากนี้ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดว่า ธปท.จะปรับคาดการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2563 จากที่เดิมคาดว่าจะมีการเติบโต เป็นหดตัว เนื่องจากปัจจัยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา และราคาน้ำมันโลกที่ลดลง ในส่วนของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เราคาดว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะหดตัว 1%
"เราเหลือโอกาสใช้เครื่องมือการลดดอกเบี้ยน้อยลงทุกที และนโยบายการคลังของรัฐบาลดูเหมือนยังสร้างความมั่นใจให้กับตลาดและธุรกิจ ไม่เพียงพอ ตลาดจึงรอฟังอยู่ว่า ธปท. จะมีมาตรการหรือเครื่องมืออื่นใดมาช่วยแก้ปัญหา หากจะใช้ QE สำหรับประเทศไทย เรายังไม่แน่ใจว่าจะมีประสิทธิภาพส่งผ่านไปถึงภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่ไม่สามารถเข้าถึงตลาดการเงินได้ การใช้ QE จะมีประโยชน์ไหม จะทำอย่างไรให้นโยบายของ ธปท. ส่งผลไปถึงกลุ่มผู้ที่เผชิญปัญหาอยู่อย่างแท้จริง ตลาดรอฟังการสื่อสารจากแบงค์ชาติในประเด็นนี้ อย่างรวดเร็วและชัดเจนทั้งความเป็นไปได้ ประโยชน์ และข้อจำกัด" ดร.ทิม กล่าว


