แจกเงินสู้ COVID-19ไม่ตรงจุดไม่คุ้มค่าไม่ได้ผล
หากไม่มีอะไรผิดพลาด คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการสู้ COVID-19 ซึ่งมาตรการห้าดาว คือการแจกเงิน 2 พันบาท
การประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ที่มีพล.อ.ประยุทธิ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบมาตรการชุดใหญ่ชุดที่ 1 เพื่อสู้ไวรัส COVID-19 ที่ระบาดอย่างหนักและกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง
ชุดมาตรการประกอบด้วย การแจกเงินให้ประชาชน รายได้น้อย อาชีพอิสระ และ เกษตรกร กว่า 14 ล้านคน คนละ 2 พันบาท โดยแจกให้เดือนเม.ย. และ พ.ค. นี้เดือน ละ 1 พันบาท
นอกจากนี้ ยังมีอีก 3 ชุดมาตรการ ได้แก่
1 มาตรการทางการเงิน ประกอบด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พักชำระหนี้ผู้ประกอบการ ปรับโครงสร้างหนี้ลดดอกเบี้ย ยืดเวลาชำระ ผู้ประกอบการ ลดชำระ บัตรเครดิต หนี้ส่วนบุคคล ต่ำกว่า 10% และ ประกันสังคมปล่อยกู้ดอกเบี้นต่ำให้นายจ้างลูกจ้าง
2 มาตรการทางภาษี ประกอบด้วยลดภาษีหัก ณ ที่จ่ายห็ผู้ประกอบการ ให้เอสเอ็มอี นำดอกเบี้ยกู้ซอฟท์โลนด์ มาหักลดหย่อนภาษีได้ ให้ผู้ประกอบการไม่เลิกจ้างพนักงาน ให้นำมาเป็นรายจ่ายหักลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่า และ คลังเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ให้ผู้ผู้ประกอบการ
3 มาตรการอื่นๆ ประกอบด้วย ลดหรือเว้นค่าเช่าที่ราชพัสดุลดค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ทั้งลูกจ้าง นายจ้าง เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ 2563 และ ขยายวงเงินซื้อกองทุนเพื่อการออม (SSF) เพื่อช่วยตลาดหุ้นที่ตกอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐกิจการเมือง เปิดเผยว่า มาตรการที่ออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้มาก แต่เห็นด้วยกับมาตรการทางการเงิน ภาษี และ มาตรการอื่น ที่เป็นการช่วยผู้ประกอบการโดยตรง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ เพื่อให้ผ่านรอดสถานการณ์การระบาดหนักของไวรัสไปได้
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.สมชาย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับมาตรการแจกเงิน 2 พันบาทของรัฐบาล ว่า เป็นมาตรการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงประเด็น เป็นมาตรการที่ไม่มีความหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเม็ดเงินน้อย และรัฐบาลก็ใช้มาตรการแจกเงินบ่อยเกินไป จนถูกวิจารณ์ว่าคิดอะไรไม่ออกก็ได้แต่แจกเงิน ทำให้การทำงานของรัฐบาลภาพออกมาไม่ดี
"มาตรการแจกเงิน 2 พันบาท ช่วยรัฐบาลได้นิดหนึ่งด้านการตลาดการเมือง ว่ารัฐบาลพยายามช่วยทุกคนนะ แต่ในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ผลเลย มันเหมือนคนติดในทะเลทรายและรัฐบาลก็เอาน้ำไปให้หยดสองหยด ผลสุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี" รศ.ดร.สมชาย กล่าว
รศ.ดร.สมชาย กล่าวว่า รัฐบาลควรนำเงินที่แจก 2 พันบาท ไปใช้เตรียมพร้อมในเรื่องของการรับมือไวรัส ที่ตอนนี้ยังไม่มีใครประเมินได้จะรุนแรงขนาดไหน รัฐบาลควรคิดถึงกรณีที่เลวร้ายสุดๆ ว่า การระบาดควบคุมไม่ได้ หน้ากากอนามันไม่พอ โรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ปป่วยได้ รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอรับมือเหตุการณ์นี้หรือไม่ และได้มีการเตรียมการในกรณีนี้หรือไม่
สำหรับการขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้จะเป็นเท่าไร ยังไม่มีการใครคาดเดาได้ ขึ้นอยู่กับการระบาดของไวรัส หากจบไวเศรษฐกิจก็โตได้มากกว่า 1% แต่หากรุนแรงยือเยื้อก็ต่ำกว่า 1% แต่หากรุนแรงควบคุมไม่ได้เศรษฐกิจปีนี้คงขยายตัวติดลบ
"ตอนนี้นักเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่พระเอก เป็นพระรองมากๆ พระเอกตัวจริงตอนนี้คือหมอและบุคลากรทางการแพทย์ ที่ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะรับมือกับไวรัสอยู่หรือไม่ ดังนั้นเมื่อพระเอกยังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พระรองพวกนักเศรษฐศาสตร์ก็ไม่รู้หรอกว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร จะแย่มากแย่น้อยขนาดไหน" รศ.ดร.สมชาย กล่าว


