posttoday

มาตรการร้อน ยื้อเศรษฐกิจทรุดไม่อยู่

05 มีนาคม 2563

กลายเป็นไฟต์บังคับให้รัฐบาลต้องเร่งสุดตัว ออกมาตรการกอบกู้เศรษฐกิจ ที่เจอพิษจากไว้รัสโคโรนา จนอาการแย่หนักสาหัสอย่างรวดเร็วขึ้นทุกวัน

โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง

................................

อุตตม สาวนายน รมว.คลัง เรียกสื่อคุยแบบไม่เป็นทางการแต่เนื้อหาจัดเต็ม ว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม. เศรษฐกิจ) ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอชุด "มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบไวรัสโคโรนา ชุดที่ 1" ซึ่งคิดเป็นวงเงินที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากกว่า 1 แสนล้านบาท

หัวใจของชุดมาตรการ อยู่ที่มาตรการแจกเงิน ผู้มีรายได้น้อย เงินเดือนเดือน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และเกษตรกร โดยอยู่ระหว่างการเคาะว่าจะแจกให้คนละ 1,000-2,000 บาท ซึ่งมีการประเมินว่าจะมีคนได้รับแจกเงินกว่า 14 ล้านคน และคนที่ได้รับเงินสามารถกดเงินสดไปใช้จ่ายได้ทันที ไม่ต้องยุ่งยากเหมือนโครงการชิมช้อปใช้ หรือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ได้วงเงินไปและต้องไปใช้ในร้านค้าที่รัฐบาลกำหนดไว้เท่านั้น

ส่วนมาตรการในส่วนอื่น ก็เป็นเรื่องของการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เที่ยวนี้ปูพรมช่วยทุกกลุ่ม ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวอย่างเดียวเท่านั้น โดยจะมีการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ (ซอฟท์โลน) เพื่อไปเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยคลังให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปลดล็อกผ่อนปรนให้ธนาคารพาณิชย์สำรองหนี้เพื่อให้ปล่อยสินเชื่อผู้ประกอบการมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีชุดมาตรการภาษีเพื่อช่วยผู้ประกอบการ ให้จ้างงานลูกจ้างต่อไป โดยให้นำค่าใช้จ่ายจากการจ้างมาหักค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 1 เท่า นอกจากนี้ยังจะลดภาระผู้ประกอบการให้หักภาษี ณ ที่จ่ายลดลง เพื่อให้มีสภาพคล่องมากขึ้น และจะมีการตั้งกองทุน เพื่อให้เงินสนับสนุนให้นายจ้างไปจ่ายให้พนักงานที่ต้องหยุดทำงานชั่วคราว

ในชุดมาตรการที่ 1 ยังมีมาตรการอุ้มตลาดหุ้น โดยจะปรับเกณฑ์กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) กลับไปให้หักลดหย่อนภาษีได้เหมือนกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือตลาดทุนที่ดัชนีซื้อขายตกลงมาก ซึ่งคาดว่า จะมีการเพิ่มวงเงินได้ 5 แสนบาท และระยะเวลาการถือครอง 7 รอบบัญชีเหมือน หรือประมาณ 5 ปี ซึ่งน่าสนใจกว่าการลงทุนใน SSF ที่ซื้อได้ไม่เกิน 2 แสนบาท และต้องถือครองถึง 10 ปี

อุตตม ระบุด้วยท่าที่แข็งกร้าวว่า มาตรการทั้งหมดเมื่อผ่าน ครม.เศรษฐกิจและ ครม.ในสัปดาห์หน้าจะต้องมีผลในทางปฏิบัติทันที ซึ่งมาตรการนี้จะมีผล 3-4 เดือน ไปจนถึงเดือน มิ.ย.-ก.ค. ส่วนผลกระทบมาตรการไวรัสโคโรนาจะไปจบเมื่อไหร่ ตอบได้ไม่ได้ จึงออกมาตรการดูแลชุดที่ 1 ซึ่งหมายความว่ามีความพร้อมจะออกมาตรการชุดที่ 2 และ 3 หากมีความจำเป็น

เมื่อพิจารณาจากมาตรการร้อน แล้วทุกเสียงบอกไปในทางเดียวกันว่า ไม่มีอะไรใหม่ และถูกโจมตีอย่างหนักว่าคิดอะไรไม่ออกก็แจกเงินอีกแล้ว

นอกจากการตั้งชื่อชุดมาตรการกระตุ้น "มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบไวรัสโคโรนา ชุดที่ 1" ก็ถูกมองว่า มาตรการนี้เป็นมาตรการร้อนจานด่วน แก้ไขปัญหาเฉาะหน้า หามาตรการอะไรมาได้ก็ยัดใส่เข้ามาก่อน ส่วนได้ผลไม่ได้ผลค่อยดูกันอีก และค่อยออกมาตรการชุดที่ 2 หรือ 3 ที่ยังคิดไม่ออก มาเพิ่มเติมที่หลัง

เมื่อเป็นเช่นนี้ มาตรการ้อนครั้งนี้ จึงถูกมองว่าไม่ใช่ยาแรงยาดี ที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดหนักจากพิษของไวรัสโคโรนาได้

นอกจากนี้ การออกมาตรการแบบนี้ ยังทำให้นักลงทุนและประชาชนประเมิน ไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นได้จริง ส่งผลให้มาตรการนี้ไม่ได้เรียกความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ความเชื่อมั่นตกลงไปอีก

เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลก็ออกมาตรการแบบนี้กระตุ้นเศรษฐกิจทรุดมาแล้วก็ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะเป็นมาตรการชิมช้อปใช้ที่มีถึง 3 เฟส ที่ออกมาตั้งแต่ปลายปี 2562 จนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา มีการแจกเงินคนละ 1,000 บาท ก็ไม่ได้ฉุดเศรษฐกิจหยุดทรุดได้

นอกจากนี้ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลก็ออกมาตรการภาษีช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อไปปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยว และนำรายจ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า ก็ไม่มีใครสนใจ เพราะคนไม่เที่ยวไม่มีรายได้ ก็ไม่รู้จะไปกู้มาทำไม เพราะไม่มีรายได้ผ่อนชำระเงินกู้ จะทำให้กลายเป็นปัญหาซ้อนปัญหาเพิ่มขึ้น

พร้อมกันนี้ ยังให้ผู้ประกอบการที่พาคนไปสัมนนาในต่างจังหวัด ให้นำรายจ่ายทั้งหมดมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ก็ถูกเมิน เพราะตอนนี้คนผวาไวรัสกันทั้งประเทศ งดการเดินทางหมู ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนชัดว่า มาตรการไทยเที่ยวไทยช่วยไทยที่พยายามพลักดันออกมา เดี้่ยงไปทุกโครงการด้วย ไม่ว่าจะลดแลกแจกแถมอย่างไร หรือ ถึงขนาดแจกฟรีตอนนี้ ก็เชื่อว่าไม่มีใครอยากไปเที่ยวเสี่ยงตายไวรัสร้านสายพันธุ์ใหม่ที่แผงฤทธิ์ อยู่ในขณะนี้

จะเห็นว่า มาตรการที่จะออกมาล่าสุด ก็ไม่ได้ต่างจากของเดิมที่ทำมาแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นมาตรการที่ไม่ได้ผล ดังนั้นมาตรการจึงไม่สามารถยื้อเศรษฐกิจทรุดหนักได้

ข่าวล่าสุด

'นิวยอร์ก' คุมโซเชียล บังคับขึ้นคำเตือนอันตรายต่อสุขภาพจิตเยาวชน