ของมันต้องมี (หุ้น) อี-คอมเมิร์ซ
ในช่วงกว่า 2 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มจากความคาดหวังการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
เรื่อง วิศรุต จารุอนันตพงษ์ AFPT™ Wealth Manager ธนาคารทิสโก้
ในช่วงกว่า 2 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มจากความคาดหวังการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง และการเจรจาประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่มีแนวโน้มดีขึ้น
อย่างไรก็ดี แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะข้างหน้ายังมีความเสี่ยงจากหลายปัจจัยด้วยกัน อาทิ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับลดคาดการณ์จีดีพีของโลกในปี 2562 และ 2563 ลดลงเป็นขยายตัว 3.5% และ 3.6% จากการขยายตัว 3.7% ในปี 2561 อีกทั้งสภาพคล่องในระบบกำลังลดลงหลังจากเฟดทยอยลดงบดุล รวมถึงการหยุดใช้นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และคาดว่าจะเริ่มการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือน ธ.ค. 2563
ยิ่งไปกว่านั้นจากตัวเลขเศรษฐกิจที่เติบโตลดลง นักวิเคราะห์ทั่วโลกปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2562 ลงไปด้วย ทำให้การปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงถัดไปจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยหากเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มชะลอตัวเพิ่ม หุ้นกลุ่ม “Cyclicals” หรือหุ้นวัฏจักร อาทิ หุ้นกลุ่มการเงินหรือพลังงาน จะได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ทำให้การหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ที่น่าสนใจและเป็นกระแสหลักของโลก น่าจะล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบัน หรือ “เมกะเทรนด์” ที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ
โดยหุ้นกลุ่ม “เมกะเทรนด์” นั้นเป็นบริษัทที่มีรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ และปรับใช้นวัตกรรมที่เกิดขึ้น เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจที่จะต่อยอดจากธุรกิจแบบเดิม ทำให้คาดว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์จะสร้างผลกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำให้แก่นักลงทุนได้ เช่น ในกลุ่มธุรกิจดิจิทัลเฮลท์และอี-คอมเมิร์ซ เพราะนอกจากจะเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตของรายได้และผลกำไรอย่างสม่ำเสมอแล้ว รายได้กับกำไรของบริษัทยังไม่ผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจอีกด้วย
ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ คือ ธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อสินค้าและบริการ การโฆษณาสินค้า และการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งจุดเด่นของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
ปี 2560 ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซมีส่วนแบ่งการตลาด 10.2% หรือมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และ e-Marketer คาดว่าส่วนแบ่งการตลาดจะขยายตัวเป็น 14.3% ในปี 2563 เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรทั่วโลกที่เข้าถึงการใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 4.39 พันล้านคนทั่วโลก เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน และคิดเป็น 57% ของประชากรโลก (ประชากรโลกมีทั้งหมดราว 7,600 ล้านคน) ทำให้ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมาก
ในด้านของการโฆษณาทางออนไลน์ก็เติบโตอย่างมากเช่นเดียวกัน โดยปี 2552 งบการโฆษณาทางออนไลน์มีมูลค่าเพียง 14% ของงบโฆษณาทั้งหมด แต่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นเป็น 47% ในปี 2562 นี้
ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซเข้ามามีบทบาทในการช่วยอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตของเราอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านตัวกลางอย่าง eBay หรือ Amazon และการชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน Paypal ข้อมูลจาก Invesp Conversion Optimization ชี้ให้เห็นว่าสัดส่วนการซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์เปรียบเทียบกับการซื้อสินค้าแบบดั้งเดิมเพิ่มขึ้นจาก 5.9% ในปี 2557 เป็น 8.8% ในปี 2561
หากพิจารณาในแง่ของมูลค่าตลาดจะพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อสินค้าผ่านช่องทางแบบดั้งเดิมทั่วโลกเติบโตราว 90% แต่การซื้อสินค้าผ่านตลาดสินค้าออนไลน์ขยายตัวกว่า 280% และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในอีกมุมหนึ่งธุรกิจที่ให้บริการจองห้องพักและตั๋วเครื่องบิน อาทิ Booking.com, Expedia, Agoda และ TripAdvisor ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยบริษัทข้างต้นถือเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาด เนื่องจากบริษัทจะรวบรวมห้องพักและตั๋วเครื่องบินจากทั่วโลก
รวมถึงจัดอันดับราคาและความคิดเห็นจากผู้ใช้จริงเอาไว้ในที่เดียว ช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดทั้งเงินและเวลา ซึ่งในปัจจุบันการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวและห้องพักผ่านธุรกิจในกลุ่ม Online Travel Agency นี้ คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของรายจ่ายทั้งหมดในกลุ่มอี-คอมเมิร์ซมากกว่าซื้อสินค้าแฟชั่นและเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมกันเสียอีก และหากเราจะเจาะลึกลงไปในธุรกิจกลุ่ม Travel Service จะพบว่าหลายบริษัทมีกำไรขั้นต้นสูงถึง 80-95% เลยทีเดียว ซึ่งต้นทุนหลักของกิจการจะอยู่ที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร นอกจากนี้มุมมองของนักวิเคราะห์ทั่วโลกคาดการณ์ว่าการเติบโตของธุรกิจ Travel Service จะขยายตัวได้สูงถึง 10-20% ต่อปี ในช่วง 5 ปีข้างหน้า
ในกลุ่ม Online Retail บริษัทอย่าง Wayfair ซึ่งเริ่มธุรกิจมาจากบริษัทขายตู้และชั้นวางของออนไลน์ในปี 2545 ในปัจจุบัน Wayfair เป็นบริษัทขายเฟอร์นิเจอร์ออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีการจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยส่งอีเมลไปยังลูกค้าที่กำลังมองหาเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน พร้อมรายละเอียดสินค้าราคาถูก ตลอดจนคำแนะนำการเลือกซื้อสินค้า ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2561 บริษัทมียอดขาย 6,700 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยราว 30% ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าบริษัทในกลุ่มอี-คอมเมิร์ซกำลังอยู่ในช่วงเติบโตทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน กล่าวคือการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต แนวโน้มการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของคนจากการซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางดั้งเดิมมาเป็นทางออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจของบริษัทเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้า ทำให้การลงทุนในหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซมีความน่าสนใจและเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่พอร์ตการลงทุนได้
สุดท้ายนี้ผมขอเป็นตัวแทนผู้เขียนทุกท่าน ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ที่เป็นตัวกลางส่งต่อความรู้เรื่องการเงินการลงทุน ตลอดจนการบริหารการเงินส่วนบุคคลให้กับนักลงทุนและประชาชนทั่วไปมาตลอด 17 ปีที่ผ่านมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่านจะได้รับประโยชน์ และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้เพื่อสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้นของทุกท่าน สำหรับวันนี้ขอขอบคุณและสวัสดีครับ


