อิตาเลียนมาสเตอร์ เฟเดริโก เฟลีนี่
หากพูดถึงวงการภาพยนตร์โลก โดยเฉพาะภาพยนตร์อิตาลีนั้น
โดย ปณิฏา
หากพูดถึงวงการภาพยนตร์โลก โดยเฉพาะภาพยนตร์อิตาลีนั้น ชื่อหนึ่งที่จะต้องไม่ตกหล่นไปจากสารบบ จะต้องมีเฟเดริโก เฟลีนี่ เจ้าพ่อแห่งเทคนิค ศิลปะ และสไตล์แห่งวงการ ผู้ทำให้ถึงกับเกิดคำศัพท์Felliniesque ขึ้นมา บ่งความหมายถึงความมหัศจรรย์และเหนือจริง
ผลงานของ เฟเดริโก การันตีด้วยรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ มากที่สุดเท่าที่จะมีใครเคยรับมาในโลกนี้ (5 ครั้ง)
ก่อนที่จะมาเป็นผู้กำกับคนดัง เขาเริ่มต้นอาชีพด้วยการวาดรูปและเขียนมุขประกอบการทำงานในแมกกาซีนทำให้รู้จักกับคนในวงการภาพยนตร์ จนได้ไปเขียนบทหนัง และเส้นสู่การร่วมงานกับ โรแบร์โต รอสเซลีนี กับบทหนังเรื่อง Roma citta aperta (Rome, Open City) ที่กลายเป็นเครื่องกรุยทางของเฟเดริโกในวงการภาพยนตร์อิตาลียุคนีโอเรียลิสม์
เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้ช่วย โรแบร์โต รอสเซลีนี ใน Paisa (Paisan) ซีรี่ส์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อจาก Roma citta aperta และอีกไม่นาน เฟเดริโก เฟลีนี่ ก็ได้กำกับหนังของตัวเอง
I Vitelloni (1953) คว้ารางวัลสิงโตเงิน จากเทศกาลภาพยนตร์เวนิส กลายเป็นใบเบิกทางไปสู่ตลาดหนังนานาชาติ และ La Strada (1954) ที่คว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ก็ได้ยกระดับเขาสู่การเป็นผู้กำกับระดับโลก
หนังของ เฟเดริโก เฟลีนี่ มีความเป็นตัวเองอย่างสูง เขาผสานกลิ่นอายของศิลปะแบบบาโรก ความหรูหรา เวอร์วัง อลังการ และจินตนาการเหนือจริงเอาไว้ด้วยกัน นอกจากประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วแล้ว เขายังส่งอิทธิพล กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งคนในโลกภาพยนตร์ ศิลปะ หรือแม้แต่วงการแฟชั่น มาจนถึงทุกวันนี้ และ 5 สุดยอดผลงานของเขาจะตอบโจทย์เหตุผลนั้น
1. Amarcord (1973)
Amarcord ภาษาท้องถิ่นอิตาเลียนจากย่านบ้านเกิดของ เฟเดริโก แปลว่า “ฉันจำได้ดี” เรื่องราวกึ่งๆ อัตชีวประวัติของเขา ที่นอกจากอารมณ์ย้อนวัยไปยังตอนเด็กๆ แล้ว ยังแสดงความเป็น Felliniesque อย่างสูง เรียกว่า เป็นวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์พันลึกทีเดียว
ความทรงจำในวัยเด็กของเฟเดริโกกับการเติบโตมาในเมืองเล็กๆ ริมชายฝั่งทะเล ท่ามกลางบรรยากาศก่อนสงครามโลก ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทั้งเรื่องจริงและจินตนาการ ของเด็กน้อยที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยหนุ่ม Amarcord แสดงให้เห็นชีวิตในโรงเรียน ครูแปลกๆ ประสบการณ์เซ็กซ์ครั้งแรก อิทธิพลของโบสถ์คริสต์ และเรื่องราวบ้าบออื่นๆ ที่ถักถ้อยร้อยเรียงออกมาเป็นสุดยอดมาสเตอร์พีซของเขา
นี่คือ 1 ใน 5 เรื่องที่คว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมขณะที่ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง และคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในหลายๆ เวที
2. 8½ (1963)
Otto e mezzo หรือ Eight and a Half ผลงานชื่อดังที่สุดของเฟเดริโกเรื่องนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้หลายวงการ และยังถือเป็นหนังอาร์ตที่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้มากที่สุดแห่งทศวรรษที่ 1960 อีกด้วย
เป็นหนังอีกเรื่องที่แสดงความเป็น Felliniesque ซึ่งผสมผสานทั้งเรื่องจริง เรื่องในจินตนาการ และความเวอร์วังอลังการเอาไว้ด้วยกัน เรื่องเล่าบันทึกของผู้กำกับ กุยโด อันเซลมี่ (มาร์เชโล มัสโตรยันนี่) ที่กำลังกำกับโปรดักชั่นขนาดใหญ่ ทว่าไม่รู้จะจัดการยังไงกับมัน ระหว่างกำลังค้นหาแรงบันดาลใจ การย้อนไปยังความทรงจำของวันคืนเก่าๆ ความฝัน และจินตนาการวัยเยาว์ ก็กลับมาช่วยขับเคลื่อนโปรเจกต์ใหญ่ให้ผ่านไปได้ด้วยดี
Otto e mezzo ชนะรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และสาขาเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม นอกจากนี้ ยังคว้ารางวัลสูงสุดในเทศกาลภาพยนตร์มอสโก และคว้า 7 รางวัลยอดเยี่ยม จากเวทีนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งชาติอิตาเลียน ในที่นี้ รวมถึงรางวัลใหญ่ๆ อย่างรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย
หนังเรื่องนี้ ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับเรื่อง All That Jazz (1979) ของบ๊อบ ฟอสซี่ และ Stardust Memories (1980) ของวู้ดดี้ อัลเลน และอีกหลายๆ เรื่องในทศวรรษที่ 20
3. La Dolce Vita (1960)
หนังอาร์ตอีกเรื่อง ที่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้มากที่สุดแห่งทศวรรษที่ 1960 La Dolce Vita นับเป็นหนังเรื่องแรกที่บรรดานักวิจารณ์ต้องบัญญัติศัพท์คำว่า Felliniesqueขึ้นมาเพื่อบรรยายเอกลักษณ์ความเป็น เฟเดริโก เฟลีนี่ กันเลยดีเดียว
La Dolce Vita โดดเด่นในแง่ของความเป็นกวีในการเล่าเรื่อง รวมทั้งสไตล์ความรุ่มรวยหรูหรา เป็นเสาเข็มตอกย้ำสไตล์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของ เฟเดริโก
หนังเรื่องนี้ ยังเป็นจุดเปลี่ยนของเฟเดริโก จากการทำหนังในยุคนีโอเรียลิสม์ สู่การเป็นผู้กำกับหนังอาร์ตอย่างเต็มตัว มีฉากตอนที่น่าจดจำมากมาย ในเรื่องราวของนักข่าวแท็บลอยด์ มาร์เชโล รูบีนี่ (มาร์เชโล มัสโตรยันนี่) ที่เข้ามาตามทำข่าวดารา ไฮโซ ได้สัมผัสชีวิตหอมหวานในกรุงโรม ไม่ว่าจะเป็นฉากเปิดเรื่องที่มีการนำเฮลิคอปเตอร์ขนพระรูปพระเยซูไปส่งยังวาติกัน หรือฉากตัวเอกของเรื่องลงไปเล่นน้ำพุเทรวี ฯลฯ
นอกจากนี้ชื่อของช่างภาพในเรื่องที่คอยตามถ่ายคนดัง อย่าง ปาปาราซโซ ยังกลายเป็นศัพท์ใหม่ของวงการบันเทิง คือ ปาปาราซซี่อีกด้วย
เฟเดริโก ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยฟิล์มขาว/ดำ และใช้เทคนิคไวด์สกรีน ที่ช่างสร้างภาพอันแสนสวยงามให้กรุงโรมเป็นเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ สมชื่อ La Dolce Vita
หนังชนะรางวัลปาล์มทองคำ ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 4 รางวัลออสการ์ ทว่า คว้ามาได้เพียงรางวัลเดียวคือ รางวัลเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม
4. Le Notti di Cabiria (1957)
La Dolce Vita และ 8 1/2 น่าจะเป็น 2 เรื่องที่โด่งดังที่สุดของเฟเดริโก เฟลีนี่ ทว่า Le Notti di Cabiria หรือ Nights of Cabiria เป็นอีกหนึ่งมาสเตอร์พีซของเขาเช่นกัน
หนังเล่าเรื่องของ คาบีเรีย (จูเลียตตา มาซีนา) โสเภณีใจพระ ที่แม้ว่าจะโดนทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจมากขนาดไหน เธอก็ยังมองโลกสวยงามและมีความหวังเสมอว่าชาตินี้จะได้เจอกับรักแท้ แต่ดูเหมือนว่าชีวิตของเธอจะไม่มีโชคด้านนี้เอาเสียเลย
คาบีเรีย โดนแฟนหนุ่มทิ้ง เกือบจมน้ำตาย แถมเขายังขโมยเงินของเธอไปหมด เธอถูกดาราดังขังไว้ในห้องน้ำกับหมาหนึ่งตัวตลอดคืน เขาหิ้วเธอกลับบ้าน แต่ต้องพาตัวเธอไปซ่อนจากแฟนสาวของเขาเอง แถมยังทำให้เธอขายหน้าด้วยการบอกว่า รักเธอและอยากแต่งงานกับเธอ --- หลังจากเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวล เธอยังยิ้มสู้ ไม่ปล่อยให้เรื่องร้ายๆ มาทำลายจิตใจของเธอได้
Le Notti di Cabiria เต็มไปด้วยจินตนาการและความเหนือจริง มีฉากสนุกๆ ที่น่าประทับใจ อย่างฉากเต้นแมมโบในไนท์คลับ ซึ่งจูเลียตตา ภรรยาของเฟเดริโกแสดงอย่างสุดฝีมือ และนับเป็นผลงานการแสดงที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในหนังของสามีของเธอเอง
Le Notti di Cabiria เป็นอีกเรื่องที่คว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม เป็นการคว้ารางวัลติดต่อกัน 2 ปีซ้อนของเฟเดริโก ขณะที่ จูเลียตตา คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์
5. La Strada (1954)
หนังยกระดับเขาสู่การเป็นผู้กำกับระดับโลก ด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม เป็นเรื่องแรก (หนังปี 1954 แต่เข้าชิงปี 1956) La Strada หรือ The Road ยังถือว่าเป็นมาสเตอร์พีซเรื่องแรกของยอดผู้กำกับชาวอิตาเลียนอีกด้วย
เจลโซมีนา (จูเลียตตา มาซีนา) สาวน้อยยากจนผู้น่ารัก น่าสงสาร ถูกแม่ขายให้กับซัมปาโน (อันโทนี ควินน์) หนุ่มล่ำจอมโหดที่ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่ปรานีเมื่อสบโอกาสเธอก็หลบหนีไปเจอกับ อิล มัตโต (ริชาร์ด เบสฮาร์ต) นักแสดงไต่ลวด แต่ซัมปาโน ก็มาตามเจอและพากลับไปทรมานต่อ ไม่นานทั้งคู่เข้ามาทำงานกับคณะละครสัตว์เดียวกับอิล มัตโต เจลโซมีนาและอิล มัตโต ตัดสินใจว่าจะหนีไปด้วยกัน แต่เธอกลัวๆ กล้าๆ ซัมปาโนรู้ จึงฆ่าอิล มัตโต ทำให้เจลโซมีนาหัวใจสลาย
La Strada เป็นจุดเปลี่ยนของเฟเดริโก ที่กำลังจะทลายกรอบของนีโอเรียลิสม์ ไปสู่ความเป็นหนังอาร์ตแบบ Felliniesque อย่างเต็มตัว ในหนังมีทั้งโรแมนติก เรียลิสม์ ผสานความแฟนตาซี และความบาโรกเข้าไว้ด้วยกัน


