posttoday

ซองโด อภิมหาสมาร์ทซิตี้ ที่...

16 ธันวาคม 2561

ตอนที่แล้ว เล่าถึงอภิมหาสมาร์ทซิตี้แห่งศตวรรษที่ 21

โดย อาทิตย์ โกวิทวรางกูร [email protected] เครือข่ายมักกะสัน 

ตอนที่แล้ว เล่าถึงอภิมหาสมาร์ทซิตี้แห่งศตวรรษที่ 21 อย่างเมืองซองโด (Songdo) ประเทศเกาหลีใต้ เมืองใหม่ที่สร้างขึ้นจากการถมทะเล ข้างๆ สนามบินอินชอน ออกแบบโดยรวมเอาจุดเด่นของหลายเมืองของโลกมารวมกัน ผนวกกับการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย หวังให้เกิดเป็นต้นแบบของสมาร์ทซิตี้ที่ดีที่สุดในโลก และจะได้เอาตัวแบบกึ่งสำเร็จรูป (Template) นั้นไปขายให้เมืองอื่นๆ ประเทศอื่นๆ ในโลกต่อไป

ซองโด เป็น 1 ใน 3 ส่วนของ The Incheon Free Economic Zone (IFEZ) เขตเศรษฐกิจพิเศษที่เกาหลีใต้สร้างขึ้นพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเป็นศูนย์กลางสำนักงานภูมิภาคของบรรษัทข้ามชาติ โดยมีจุดขายด้านทำเลที่ตั้งที่สามารถเดินทางไปยังเมืองสำคัญๆ ของจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น ได้ในไม่กี่ชั่วโมง บวกกับสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดทั้งการทำงานและการอยู่อาศัย โดยมีสาธารณูปโภครองรับกลุ่มเป้าหมายหลัก ที่เป็นนักธุรกิจนานาชาติอย่างครบครัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่เป็นอย่างวาดหวัง

การลงทุนจากต่างประเทศ ไม่ได้ไหลเข้ามาอย่างที่คาด บรรษัทข้ามชาติหลายแห่ง “ข้าม” ซองโด ไปลงทุนโดยตรงในเมืองจีนแทน

อาคารสำนักงานที่เร่งสร้างรอ ไม่มีผู้เช่ามากมายอย่างที่กะเก็งไว้

บรรยากาศในเมืองก็แสนจะเงียบเหงา แม้จะไม่ถึงขนาดเป็นเมืองร้าง (Ghost Town) อย่างที่นักวิจารณ์หลายคนมีความเห็น แต่จำนวนคนในเมือง (ทั้งที่เดินทางมาทำงานแบบไปกลับ และที่อยู่อาศัยในเมือง) น้อยกว่าตัวเลขที่ตั้งเป้าหมายไว้มาก ... จนถึงปีนี้ (2018 ซึ่งดีเลย์กว่ากำหนดการมา 3 ปีแล้ว) ก็มีจำนวนผู้อยู่อาศัยเพียงแค่ 7 หมื่นคน ยังไม่ถึง 1 ใน 4 ของเป้าที่วางไว้ (3 แสนคน)

หน้าตาของเมือง มองไปจะเห็นเป็นพื้นที่ว่างเปล่ารอการพัฒนา สลับกับโครงการขนาดใหญ่ที่กระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ ที่ว่างบางแปลงได้กลายมาเป็นแปลงปลูกผัก

จุดจอดจักรยาน ไร้จักรยานจอด ถนน ทางเท้า ทางจักรยานที่ว่างอย่างน่าประหลาด

“ผมคาดหวังว่าเมืองนี้จะเป็นเหมือนสิงคโปร์หรือฮ่องกง ที่จะมีชาวต่างชาติเต็มไปหมด แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น” Paik Dae-Il ชาวเกาหลีใต้อายุ 45 ปี ผู้ซึ่งทำงานในธุรกิจโรงแรม และอาศัยในซองโดมาแล้ว 10 ปี กล่าวอย่างผิดหวัง “โครงการสำหรับออฟฟิศใหญ่ๆ มักถูกยกเลิก ... แล้วก็กลายเป็นอพาร์ตเมนต์ อพาร์ตเมนต์ และอพาร์ตเมนต์”

ขณะที่ซองโดพยายามสร้างเมืองให้คนไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ ความจริงกลับพบรถยนต์ทั่วไปบนท้องถนน ... Lindy Wenselaers ชาวเบลเยียมอายุ 32 ตัดสินใจซื้อรถยนต์ในเดือนที่ 5 หลังจากย้ายเข้ามาทำงานและอยู่อาศัยในซองโด เธอไม่สามารถทนความหนาวเหน็บจากการเดิน 20 นาทีไปยังร้านของชำที่ใกล้ที่สุดท่ามกลางอากาศในฤดูหนาวได้

เธอยังตำหนิเมืองที่ขาดการคมนาคมที่จะเชื่อมต่อส่วนหนึ่งไปยังอีกส่วนหนึ่งโดยไม่ต้องอ้อมไปมา ... ในสุดสัปดาห์ เธอมักจะขับรถร่วมชั่วโมงเพื่อเข้ากรุงโซล แทนที่จะใช้ชีวิตวันหยุดในซองโด

การมุ่งเป้าลูกค้าต่างประเทศ ทำให้ซองโดมีค่าครองชีพที่ “แพงเกินไป” สำหรับคนท้องถิ่น

คนทำงานในซองโดจำนวนไม่น้อยกลับเลือกอยู่อาศัยในบริเวณอื่นๆ ของอินชอนแทน เพราะที่อยู่อาศัยราคาถูกกว่า...บางคนเลือกที่จะอยู่ที่กรุงโซล และเดินทางไปกลับด้วยรถบัสพิเศษระหว่างเมือง

พวกเขาและเธอรู้สึกว่าเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นสำหรับ “ชาวต่างชาติ” โดยเฉพาะ ... ไม่ใช่สำหรับคนท้องถิ่น

“มีโรงเรียนนานาชาติมากมาย มีโรงพยาบาล มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนต่างชาติเยอะแยะ...ซึ่งทั้งหมดก็แพงเกินไปสำหรับพวกเรา ทุกอย่างที่นี่แพงไปหมด” Shim Jong Rae คนเกาหลีใต้ที่อยู่อาศัยในซองโดกล่าว

“ถ้าซองโดสามารถแก้ปัญหาเรื่องค่าครองชีพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ ผมคิดว่าซองโดมีศักยภาพไม่เพียงแต่จะเป็นเมืองที่ดีที่สุดในเกาหลีใต้ แต่อาจจะดีที่สุดในโลกได้เลย” Rae ให้ความเห็นที่น่าสนใจ

แล้วซองโดจะพลิกเกมยังไง?

ทางออกส่วนหนึ่ง คือไอเดีย Korean-American Town กล่าวคือเน้นขายโครงการที่พักอาศัยบางส่วนให้กับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ คือคนเกาหลีที่อพยพไปอเมริกาเมื่อหลายสิบปีก่อน และตอนนี้ต้องการกลับมาใช้ชีวิตหลังเกษียณที่บ้านเกิด

ซีอีโอของ KOAM International นาย Kim Dong-ok ผู้รับผิดชอบโครงการนี้ และผู้ซึ่งอพยพออกจากเกาหลีใต้เพื่อไปตามหาความฝันแบบอเมริกันเมื่อ 40 กว่าปีก่อน กล่าวว่า เขาตั้งใจที่จะสร้างเมืองในซองโด เพื่อรองรับผู้อพยพรุ่นแรก (รวมตัวเขาเองด้วย) ซึ่งใกล้จะเกษียณ ให้สามารถกลับประเทศบ้านเกิด และมีชีวิตบั้นปลายอย่างไม่ลำบาก

“The Korean-American town จะช่วยให้ผู้คนซึ่งมีอัตลักษณ์คล้ายๆ กัน ผ่านประสบการณ์ชีวิตคล้ายๆ กัน ให้อยู่ร่วมกันเป็นเพื่อนบ้าน เกื้อกูลกัน ใช้ชีวิตอย่างสงบและสบายใจ”

แผนล่าสุดของซองโด คือการแปลงพื้นที่บางส่วนให้เป็น “ฮับของไบโอเทค”

สืบเนื่องจากความสำเร็จในการดึงดูดบริษัททางด้านไบโอเทค (บริษัทไบโอเทคขนาดใหญ่กว่า 25 แห่ง แล็บขนาดเล็กกว่า 60 แห่ง ได้ย้ายเข้ามาแล้ว) ผู้บริหารของ Incheon Free Economic Zone ได้จัดสรรพื้นที่รวมกว่า 9.9 แสนตารางเมตร ในเมืองซองโด สำหรับการวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์ เพื่อจะดึงดูดบริษัททางด้านสุขภาพระดับโลกให้เข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นไปอีก

Gale International บริษัทอเมริกัน ซึ่งถือหุ้น 61% ของโครงการซองโด ยอมรับว่าการสร้างเมืองที่เน้น “คุณภาพชีวิต” อาจหมายถึงการพลาดเป้าในการดึงดูดบริษัทให้มาตั้งสำนักงานที่นี่

แม้จำนวนผู้อยู่อาศัยในซองโดจะต่ำกว่าเป้าหมายไปมาก และกำหนดการล่าช้าไปเยอะ ... นาย Gale เจ้าของและซีอีโอของบริษัทก็ย้ำว่าเขาคิดกับซองโดในระยะยาว

“โครงการที่ใหญ่โตมโหฬารและทะเยอะทะยานปานนี้ ย่อมต้องใช้เวลา” เขาชี้ว่าซองโดไม่ใช่เมืองที่จะสร้างแบบชั่วข้ามคืน (Instant City) แบบบางเมืองในเกาหลีใต้ หรืออีกหลายเมืองในจีนและเอเชีย

“เราหวังว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมืองจะดึงดูดนักคิดระดับโลก ซึ่งมาใช้ซองโดเป็น‘Platform’ ของเมืองแห่งอนาคต อย่างที่ซองโดถูกวางวิสัยทัศน์ไว้...ซึ่งนั่นหมายถึงการเป็น ‘ห้องทดลอง’ สำหรับเทคโนโลยีและโซลูชั่นใหม่ๆ สำหรับสมาร์ทซิตี้…และการเป็น ‘ศูนย์กลางของโลก’ ในการแลกเปลี่ยนมุมมองในเรื่องการพัฒนาเมืองและความยั่งยืน”

ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นได้ ซองโดต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน...และโลกก็ต้องยอมรับด้วย

ซองโดเป็นกรณีศึกษาของสิ่งที่เกิดจริงกับภาพฝัน และหากนำไปศึกษาเทียบเคียงกับเมืองที่เล่นใหญ่ บางเมืองในอดีต (อย่างบราซิเลีย ของบราซิล) และร่วมสมัยกับซองโด (เช่น มาสดาร์ ซิตี้ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เราอาจจะค้นเจอบทเรียนร่วมบางประการครับ

ข่าวล่าสุด

ครม. ทบทวน EV3 เพิ่มความยืดหยุ่น หนุนไทยสู่ฐานผลิต EV โลก