‘ดาวซานถี่’ เปิดจีนสู่ Sci-Fi โลก
ช่วงเวลาบ้าคลั่งครั้งหลังสุดในประวัติศาสตร์จีน คือ ยุคปฏิวัติวัฒนธรรม
ช่วงเวลาบ้าคลั่งครั้งหลังสุดในประวัติศาสตร์จีน คือ ยุคปฏิวัติวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966-1976) เป็นเวลาที่เปิดโอกาสให้ผู้คนจองล้างจองผลาญกันด้วยข้ออ้างของความถูกต้องสูงสุดทางการเมือง แม้แต่ทฤษฎีทางฟิสิกส์ยังต้องเคารพกฎแห่งลัทธิมาร์กซ์
เย่เหวินเจี๋ย เป็นนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เธอคือหนึ่งในเหยื่อ พ่อของเธอเป็นอาจารย์ฟิสิกส์ชื่อดังยืนหยัดในสิ่งที่ตนเองศึกษา จนถูกพวกเรดการ์ดโจมตีและทารุณจนเสียชีวิต ...เย่เหวินเจี๋ย นักวิทยาศาสตร์ที่หมดหวังในมนุษยชาติ เพราะเหตุการณ์ที่ทุบตีประสบการณ์ของเธอให้แหลกเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า คือเส้นชีวิตที่เชื่อมต่อเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรม สู่การบิดผันชะตาชีวิตของโลกมนุษย์...
นี่คือจุดเริ่มต้นของนิยายวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ “ดาวซานถี่” (The Three Body Ploblem)
“ดาวซานถี่” เขียนโดย หลิวฉือซิน วิศวกรและนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวจีน ภาคแรกตีพิมพ์เป็นเล่มในปี 2008 จากนั้นก็ตามมาด้วยภาค 2 และ 3 ในปี 2010 หนังสือชุดดาวซานถี่เป็นปรากฏการณ์ Talk of The (China) Town
ยอดขายจนถึงกลางปี 2015 มากกว่า 1 ล้านเล่ม สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของนิยายวิทยาศาสตร์จีน และกลายเป็นกระแสระดับโลก เมื่อ “ดาวซานถี่” ได้รับรางวัลฮิวโก (The Hugo Award) ปี 2015 ในสาขา นวนิยายยอดเยี่ยม (The Best Novel)
รางวัลฮิวโก คือ รางวัลระดับโลกที่มอบให้แก่นิยายวิทยาศาสตร์และนิยายแฟนตาซีตั้งแต่ปี 1953 ซึ่งจัดขึ้นทุกปี (บางปีไม่มีผลงานที่ดีพอก็ไม่ให้) นักเขียนที่เคยได้รางวัลสาขานี้มีทั้ง ไอแซค อาซิมอฟ (The Gods Themselves, 1973) อาเธอร์ ซี คลาก (The Fountains Of Paradise, 1980 และ Rendezvous With Rama, 1974 ) รวมถึง เจ.เค. โรลลิ่ง (Harry Potter and the Goblet of Fire, 2001) คอนิยายวิทยาศาสตร์และนิยายแฟนตาซีคงคุ้นเคยชื่อเหล่านี้ดี และถ้ารวมสาขาอื่นและรายชื่อเรื่องที่เข้าชิงมาด้วย คอภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดสามารถร้องอ๋อเป็นระลอก
“ดาวซานถี่” คือผลงานเล่มแรกของชาวจีนและชาวเอเชีย ที่ได้รับรางวัลนี้ในปีที่ 62 ของการมอบรางวัล
ซานถี่ (三体) แปลว่าสามร่าง (Three Body) ชื่อเหมือนจะตั้งคำถามได้ว่าเป็นสามก๊กอวกาศหรือเปล่า แต่ไม่ใช่... “The Three Body Problem” คือการศึกษาวงโคจรของวัตถุสามชิ้นที่มีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ซึ่งค้นพบว่าไม่สามารถคาดเดาวงโคจรได้ เต็มไปด้วยความอลหม่าน... เป็นทฤษฎีที่ศึกษากันเข้มข้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20
และอารยธรรมต่างดาวที่เย่เหวินเจี๋ยส่งสัญญาณติดต่อได้ ก็มาจากระบบดาวเคราะห์ที่เคลื่อนที่รอบวงโคจรของดาวฤกษ์ยักษ์สามดวงด้วยความอลหม่าน…
สามก๊ก (Three Kingdoms) อาจถ่วงดุลกันพอดี แต่ซานถี่ (Three Body) กลับไม่เป็นเช่นนั้น
สภาพแวดล้อมของอารยธรรมซานถี่ไม่มีความแน่นอน ไม่มีฤดูกาลให้คาดหวัง บางครั้งก็เย็นยะเยือกมืดค่ำยาวนาน หรือไม่ทุกอย่างก็แทบแห้งเหือดไปแทบหมดสิ้น กลางวันกลางคืนไม่แน่นอน เพราะวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ทั้งสามคาดเดาไม่ได้ อารยธรรมซานถี่จึงมีความแตกต่างจากโลกมนุษย์แบบคาดไม่ถึง
แม้เทคโนโลยีของซานถี่จะก้าวหน้าไปไกล แต่โลกซานถี่ล่มสลายได้ทุกเมื่อ ทางรอดคือการเข้าครอบครองดาวอื่น แล้ววันหนึ่งชาวซานถี่ก็ได้รับสัญญาณจากโลก และรู้ว่าโลกคือสวรรค์สำหรับชาวซานถี่
สัญญาณจากเย่เหวินเจี๋ย ผู้ร้าวราน และหมดหวังในมนุษย์มาถึงแล้ว อีกกว่า 400 ปีชาวซานถี่จะมาถึงโลก แล้วใน 400 ปีนี้มนุษย์จะรับมือหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างไร...
“ดาวซานถี่” เป็นนิยายวิทยาศาสตร์สายแข็ง (Hard Scientific Fiction) ที่ต่อยอดจินตนาการจากทฤษฎีวิทยาศาสตร์ในโลกของความเป็นจริง และแตกยอดออกมาเป็นทฤษฎีน่าสะพรึง
ทฤษฎีที่เป็นแกนกลางของเรื่อง อาจจะเป็นคำตอบที่เฉลยว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ทำไมมนุษย์จึงติดต่อกับอารยธรรมต่างดาวไม่ได้เสียที?
แน่นอนว่าคงไม่ใช่เพราะอารยธรรมต่างดาวไม่มีอยู่จริง เพราะปริมาณดวงดาวและความหลากหลายในจักรวาลคือพยาน และไม่ใช่เพราะอารยธรรมต่างๆไม่ก้าวหน้าพอ เพราะการระเบิดของความรู้และเทคโนโลยีของมนุษย์ในรอบไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา และอายุของจักรวาลบอกเราว่า ขอเพียงมีอารยธรรมคล้ายๆ โลกเกิดขึ้นก่อนหน้าไม่กี่พันปี เทคโนโลยีต้องก้าวไกลกว่านี้อย่างคาดไม่ถึง
นักวิทยาศาสตร์ตัวจริงอย่าง Enrico Fermi เคยแจกแจงไว้ใน Fermi Paradox
ใน “ดาวซานถี่” อธิบายปรากฏการณ์นี้ด้วยทฤษฎี “ป่ามืด” ว่าในป่าที่มืดมิด สิ่งที่พรานทั้งหลายเจอะเจอมีโอกาสทั้งเป็นมิตรและศัตรู แต่การตัดสินใจที่สมเหตุสมผลที่สุดมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือชิงลงมือกำจัดสิ่งที่เราไม่รู้จักก่อน จึงจะปลอดภัยต่อตนเองที่สุด (นี่ไม่ใช่เพราะอารยธรรมใดเลวร้าย แต่เป็นไปเพื่อการดำรงอยู่อย่างปลอดภัยของแต่ละวัฒนธรรมท่ามกลางความเวิ้งว้างในอวกาศ)
อารยธรรมที่ตระหนักรู้จุดนี้จึงพยายามซุ่มซ่อนในที่มืด ใครเปิดเผยตัวตนและที่ตั้งก่อน คือการเรียกร้องหายนะ และถ้าคิดว่าในป่ามืด อารยธรรมที่สูงส่งจะเอ็นดูและห่วงใย ก็จงดูชาวอินเดียนแดง มายา อินคา และอะบอริจินส์ เป็นตัวอย่าง มนุษย์โลกคือโมเดลที่เห็นได้ชัดว่าเมื่ออารยธรรมต่ำกว่าพบกับอารยธรรมที่สูงกว่าแล้วจะเป็นเช่นไร
สอดคล้องกับที่ สตีเฟน ฮอว์กิง ประกาศไว้ในทำนองว่าจงกลัวกับการเผชิญกับอารยธรรมต่างดาวและอย่าคาดหวังว่ามันจะสวยงาม...
ใน “ดาวซานถี่” กฎนี้คือกุญแจที่นำไปสู่สถานการณ์ต่างๆ ทั้งหายนะและทางรอด
และในสภาวะตึงเครียดระหว่างดวงดาวที่ยาวนานมากกว่า 400 ปี “ดาวซานถี่” ยังทำให้เห็นสภาวะการแกว่งไกวทางการเมืองของมวลมนุษย์ ทั้งยุคเรียกร้องและยุคระอาเผด็จการ จากยุคสร้างฮีโร่สร้างความหวังให้คนทั้งมวล จนถึงยุคที่ฮีโร่คนเดิม ถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรแห่งมนุษยชาติ (จากการกระทำเดียวกัน) และจากผู้ทรยศโลก เป็นผู้ช่วยโลก
ในดำมีขาวในขาวมีดำ จุดดำขยายครอบพื้นขาวและจุดขาวขยายคลุมฝั่งดำ เวลาหลายร้อยปีของอนาคตข้างหน้าใน “ดาวซานถี่” สะท้อนประสบการณ์ลางๆ ของอดีตมวลมนุษย์
“ดาวซานถี่” จึงถูกอ่านออกมาได้ทั้งในแง่การเมือง ปรากฏการณ์สังคม และจินตนาการทางวิทยาศาสตร์ แม้ตัวหลิวฉือซินเองจะประกาศว่าเขาเขียนเรื่องนี้จากมุมของนิยายวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีเจตนาแฝงนัยอย่างอื่นเจือปน
หลิวฉือซินยังกล่าวอีกว่า เขาเขียนมาเพื่อชาวจีนอ่าน แต่ก็บอกได้เต็มปากว่า “ดาวซานถี่” เป็นงานเขียนระดับอินเตอร์ที่บ้าพลัง ในขณะเดียวกันแฝงไว้ซึ่งบริบทแบบจีนทั้งด้านรายละเอียดเนื้อหาและมุมมอง
จาก “ดาวซานถี่” จะเห็นได้ชัดว่าจินตนาการของหลิวฉือซินได้ครอบคลุม หยิบยกและช่วงใช้วิทยาศาสตร์ทุกอย่างของโลกใบนี้ได้อย่างไม่เกรงใจใคร และนี่ยังสะท้อนจิตวิญญาณของจีนในยุคใหม่ ที่มิใช่แค่นิยายวิทยาศาสตร์ระดับโลกอีกเรื่องหนึ่งที่ควรค่าแก่การอ่าน


