คลายใจ:เครื่องบินตก ยิ่งทำให้การบินปลอดภัยขึ้น
โดย 0000000ปี 1956 สวรรค์ไร้กฎ
โดย 0000000
ปี 1956 สวรรค์ไร้กฎ
แจ็ค แกนดี้ กัปตันเครื่องบิน วัย 41 ปี กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่พายุครั้งสุดท้ายในชีวิต เครื่องสายการบิน
ทรานส์เวิลด์ ซึ่งมีผู้โดยสาร 64 คน ลูกเรือ 6 คน
ออกจากสนามบินในลอสแองเจลิส เมื่อเวลา
09.01 น. นอกจากความล่าช้าราว 30 นาทีก่อนขึ้นบินแล้ว วันเสาร์ที่ 30 ก.ค. 1956 ก็ดูเป็นวันธรรมดาๆ อีกวันในห้องนักบินของเครื่องบินล็อกฮีดซูเปอร์
คอนสเตลเลชั่น
ระหว่างทางไปยังแคนซัสซิตี้ มลรัฐมิสซูรี
เครื่องบินจะบินเหนือแกรนด์แคนยอน นักบินมากประสบการณ์บินผ่านทางนี้มากกว่า 170 ครั้งแล้ว แต่ในเช้านั้นเมฆฝนฟ้าคะนองครึ้มเริ่มก่อตัวเหนือผืนดินแห่งแคลิฟอร์เนียอันเจิดจ้าทันทีหลังเครื่องขึ้น
ในเวลา 09.21 น. แกนดี้ติดต่อขออนุญาตจากหอบังคับการ เพื่อบินสูงขึ้นกว่าระดับความสูงแนะนำที่ 5,800 เมตร เพื่อหนีอากาศปั่นป่วนจากพายุฝนฟ้าคะนอง
แกนดี้ได้รับอนุญาตเขาไต่ระดับสูงขึ้น ทิ้งเมืองลอสแองเจลิสไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่ผืนฟ้าที่ไร้การดูแลควบคุม ในปี 1956 เครื่องบินจะได้รับการนำทางและดูแลจากหอบังคับการในผืนฟ้าเหนือสนามบินเท่านั้น พ้นเลยไปจากนั้นผืนฟ้าในสหรัฐอเมริกาไม่มีใครดูแล นักบินต้องพึ่งตัวเอง ไม่มีเรดาร์คอยตรวจจับ ไม่มี
หอบังคับการคอยดูด้วยว่าเครื่องบินอยู่ที่ไหนแล้ว
หลังบินมาอย่างสงบ 1 ชั่วโมงครึ่ง เครื่องบิน
ทรานส์เวิลด์ก็อยู่เหนือแกรนด์แคนยอนในแอริโซนา บินที่ความสูง 6,400 เมตร ที่อีกไม่กี่กิโลเมตรถัดมาเครื่องบินของยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ไฟลต์ 718 พร้อมผู้โดยสาร 58 คน กำลังมุ่งหน้าไปชิคาโก มลรัฐอิลลินอยส์ เป็นเครื่องดักลาส ดีซี-7 ที่ออกจากสนามบิน ในลอสแองเจลิสเพียง 3 นาที หลังเที่ยวบินของแกนดี้ มีกัปตัน
โรเบิร์ต เชอร์ลีย์ เป็นผู้ควบคุม เขาบินอยู่ที่ระดับความสูง 6,400 เมตร ตามที่ได้รับคำแนะนำ
ในห้องนักบินของเครื่องบินทั้งสองลำ นักบินจดจ่ออยู่กับการบังคับเครื่องบินฝ่าเมฆหนา ทัศนวิสัยแย่มาก แกนดี้และเชอร์ลีย์ไม่มีโอกาสเห็นเครื่องบินอีกลำหนึ่งซึ่งกำลังพุ่งเข้าหากันและกันด้วยความเร็วเกิน 500 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เวลา 10.31 น. เจ้าหน้าที่วิทยุในเมืองซอลต์เลคซิตี้ ยูทาห์ ได้รับข้อความที่ไม่ชัดเจนจากเครื่องบินของยูไนเต็ด
“ซอลต์เลค ยูไนเต็ด 718 โอ...เรากำลังจะชน” โรเบิร์ต ฮาร์ม นักบินผู้ช่วยพูด เจ้าหน้าที่วิทยุได้ยินเสียงด้านหลังแหลมสูง “ดึงขึ้น! ดึงขึ้น!” กัปตัน
เชอร์ลีย์สั่ง แต่สายไปเสียแล้ว
ที่มุม 25 องศา เครื่องบินของเขาชนเข้ากับเครื่องบินของทรานส์เวิลด์ ทั้งสองลำตกลงมาเกือบเป็นแนวดิ่งลงสู่พื้นเหมือนนกถูกยิง ควันพวยพุ่งกระจายตัวเป็นบริเวณกว้างเหนือแกรนด์แคนยอน เมื่อทีมกู้ภัยไปสำรวจพื้นที่เกิดหายนะ ทุกอย่างก็มืดมัว ผู้โดยสารและลูกเรือ 128 คน ของเครื่องบินทั้งสองลำเสียชีวิตทั้งหมด ร่างกายไม่มีเหลือชิ้นดีเลย
เจ้าหน้าที่สืบสวนคิดค้นกล่องดำ
การชนกันกลางอากาศครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์แรกในประวัติศาสตร์ การบินในปี 1950-1955 มีเครื่องบินชนกันเหนือผืนดินอเมริกา 65 ลำ แต่การชนกันที่แกรนด์แคนยอนเป็นครั้งที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด คนอเมริกันโกรธเกรี้ยวเรื่องนี้ต่อมาอีกหลายเดือน ทุกๆ วันจะมีข่าวหนังสือพิมพ์รายงานถึงระบบควบคุมการจราจรทางอากาศที่โบราณ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุค ทั้งที่มีสายการบินเพิ่มขึ้นและบนท้องฟ้าก็แทบจะไร้ระเบียบอยู่แล้ว
“ระบบล้าสมัยฆ่าคน 128 คน หรือเปล่า” หนังสือพิมพ์ Detroit Free Press ใช้วาทศิลป์ตั้งคำถามเพื่อปลุกเร้าผู้คนให้ตื่นตัวกับหายนะ
สาธารณชนและนักการเมืองต้องการระบบควบคุมการจราจรทางอากาศที่ทันสมัย ทางการจึงต้องทำตามความต้องการนี้ ผลจากการชนโดยตรงทำให้รัฐบาลอเมริกันที่ นำโดยประธานาธิบดี ไอเซนฮาวร์ ก่อตั้งองค์กรการบินสมัยใหม่แห่งแรกขึ้นในปี 1958 คือ สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (Federal Aviation Agency ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Federal Aviation Administration: FAA)
องค์กรนี้ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นต้นแบบให้กับการบินในประเทศอื่นๆ มีหน้าที่หลักคือการควบคุมทุกแง่มุมเกี่ยวกับการบินของทั้งพลเรือนและทหารในสหรัฐอเมริกา FAA รับผิดชอบในการให้บริการทางอากาศ ทั้งให้คำแนะนำ จัดความสูง และเส้นทางการบินทั่วทั้งน่านฟ้าสหรัฐอเมริกา พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นองค์กรที่ควบคุมการบินทั้งหมดตั้งแต่เครื่องบินพร้อมจะขึ้นบิน จนกระทั่งร่อนลงจอดอีกครั้ง
ในกรณีของอุบัติเหตุเหนือแกรนด์แคนยอนไม่ต้องสงสัยว่าต้นเหตุมาจากอะไร แต่นั่นเป็นตัวอย่างที่พบได้ยาก ยุคนั้นการชนกันเกิดบ่อย เมื่อเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น ทีมพนักงานสอบสวนก็ต้องค้นหาในซากเครื่องบินเพื่อดูว่ามีอะไรผิดพลาด
แต่ในทศวรรษ 1950 เดวิด วอร์เรน นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียคิดว่าควรจะปฏิวัติวงการการบินเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยในการบิน วอร์เรนและทีมร่วมสอบสวนการตกของเครื่องบินที่อธิบายไม่ได้ รวมถึงการตกของเครื่องบินเจ็ตลำแรกของโลก คือ เดอฮาวิแลนด์โคเม็ต (De Havilland Comet) ของอังกฤษ ซึ่งให้บริการครั้งแรกในเดือน พ.ค. 1952 ด้วย
หลังสอบสวนอย่างละเอียด เจ้าหน้าที่พบว่าหายนะนี้เกิดขึ้นจากความล้าของโลหะ (Metal Fatigue) ผู้ร้ายแรกคือหน้าต่าง เครื่องบินที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เมื่อห้องโดยสารมีความดัน ความดัน จะกดไปที่ขอบหน้าต่างอย่างมากจนทำให้โลหะร้าว การค้นพบนี้ทำให้หน้าต่างเครื่องบินไม่เป็นสี่เหลี่ยมอีกต่อไป แต่กลายเป็นทรงรีแทน
เดวิด วอร์เรน เชื่อว่าการสอบสวนจะง่ายขึ้นมาก หากเขาและทีมงานมีเสียงบันทึกบทสนทนาของนักบินก่อนที่เหตุการณ์ร้ายจะเกิดขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นไปได้ที่จะจำลองสถานการณ์ก่อนอุบัติเหตุขึ้นมาได้ วอร์เรนว่าในปี 1954 เขาได้เขียนรายงานถึงการบันทึกเสียงนี้เอาไว้ 3 ปีต่อมา เขาพัฒนาเครื่องมือต้นแบบขึ้น เรียกกันว่ากล่องดำเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในเครื่องบินพาณิชย์หลักๆ ทั้งหมด


