ขุนนางฟางเซี่ยวหรู ผู้กระตุกหนวดเสือ
ช่วงต้นราชวงศ์หมิง ดวงรัชทายาทของปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางค่อนข้างตกอับ
ช่วงต้นราชวงศ์หมิง ดวงรัชทายาทของปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางค่อนข้างตกอับ ลูกชายคนดีอันเป็นความหวังของจูหยวนจางเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร จูหยวนจางจึงแต่งตั้งให้จูอิ่นเหวิน-หลาน (ลูกของอดีตรัชทายาท) สุดที่รักเป็นฮ่องเต้องค์ถัดไป โดยคาดหวังและวางแผนให้เลือดเนื้อระดับรุ่นลูกของตนที่เหลือทั้งหมดซึ่งจูหยวนจางส่งไปเป็นอ๋องครองดินแดนทั่วอาณาจักรคอยปกป้องดูแลหลานรักคนนี้
โดยเฉพาะกับจูตี้ แม่ทัพใหญ่ย่านตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นลูกชายคนที่ 4 ของจูหยวนจางย่อมต้องฝากฝังเป็นพิเศษ “พี่ 1 พี่ 2 พี่ 3 ของเจ้าล้วนตายไปก่อนวัยอันควร ขอให้เจ้าคอยสอดส่องภายนอก ปกปักภายในรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงแห่งพระราชอำนาจของฮ่องเต้ (น้อย) ในอนาคต (ซึ่งเป็นลูกของพี่ชายเจ้าเอง)”
เลือดย่อมข้นกว่าน้ำจนจูหยวนจางคิดว่าคำสั่งเสียนี้จะทำให้จูตี้ซาบซึ้งภักดี แต่อำนาจก็หอมหวานเกินห้ามใจ เพียง 1 ปี 2 เดือนหลังจูอิ่นเหวินครองราชย์ จูตี้ผู้เป็นอาของจูอิ่นเหวินก็เริ่มสตาร์ทอัพการยึดอำนาจ อีกไม่กี่ปีต่อมาก็ยกทัพคุกคามจนฮ่องเต้น้อยขวัญกระเจิง และด้วยจังหวะฉุกละหุกก่อนทัพจูตี้รุกเข้าวัง ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้น สันนิษฐานกันว่าจูอิ่นเหวินตายในกองเพลิง บ้างก็ว่าจูอิ่นเหวินหนีไปได้ (เพราะพบแต่ศพฮองเฮาและพระมเหสีถูกไฟคลอก)
การกระทำนี้ของจูตี้เรียกได้ว่าทรพี ฟ้าดินไม่อาจยอมรับ วัฒนธรรมความกตัญญูและจงรักภักดีของเหล่าขุนนางจึงทำให้ฮ่องเต้จูตี้ต้องลำบาก ขุนนางจำนวนมากต่อต้านจูตี้ หนึ่งในนั้นคือขุนนางที่ชื่อ ฟางเซี่ยวหรู ขุนนางผู้ยึดถือคุณธรรมตามคติขงจื๊อ
แต่เมื่อยึดอำนาจได้แล้ว จูตี้เห็นว่าฟางเซี่ยวหรูนี่แหละเป็นอาจารย์ของเหล่าขุนนางมากมาย หากได้เขามาร่างโองการขึ้นครองราชย์ น่าจะทำให้ขุนนางที่เคยบอยคอตทั้งหลายสยบยอม
จูตี้จึงให้ตามฟางเซี่ยวหรูมาเข้าพบ และทำให้เกิดบทสนทนาดราม่าอันลือลั่นแห่งประวัติศาสตร์จีน
สถานการณ์นี้จูตี้ย่อมต้องแสร้งเป็นคนดี ไม่รู้ไม่ชี้ว่าตัวเองมีความผิด จูตี้ลงจากที่นั่งมาประคองฟางเซี่ยวหรู “อย่าร้องไปเลยท่าน ร้องขนาดนี้ไม่ดีต่อสุขภาพนะจ๊ะ มาร่างโองการครองราชย์ให้ข้ากันดีกว่า”
“แท้จริงข้ากะจะมาช่วยอุ้มชูหลานของข้าให้ปกครองบ้านเมืองด้วยดี เหมือนในอดีตกาลประวัติศาสตร์ก็เคยมีแล้วไง อาที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ช่วยหลานปกครอง (อาคนนั้นคือ “โจวกง” ผู้พิทักษ์บัลลังก์หลานแห่งยุคราชวงศ์โจวเมื่อนมนาน)”
ฟางเซี่ยวหรูมองบนทันที “แล้วฮ่องเต้ซึ่งเป็นหลานของท่านอยู่ไหนเสียแล้วเล่า!”
จูตี้ตอบว่า “โธ่ ก็พระองค์ดันตายในกองเพลิงซะก่อน ข้าเลยต้องมาเป็นฮ่องเต้แทนไง”
ฟางเซี่ยวหรูมองบนขึ้นไปอีก “ถึงฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไป ราชโอรสของพระองค์ก็ยังเหลืออยู่!”
“เจ้าช่างไม่เข้าใจการปกครองบ้านเมือง ลูกของจูอิ่นเหวินยังเด็กไป ได้ฮ่องเต้ที่เป็นผู้ใหญ่สักหน่อย บ้านเมืองย่อมมั่นคง” จูตี้ตอบ
ฟางเซี่ยวหรูแทบไม่เหลือตาดำ “แล้วทำไมไม่แต่งตั้งพระอนุชาของฮ่องเต้ที่ยังมีชีวิตอยู่ให้เป็นฮ่องเต้แทนเล่า!”
ฟางเซี่ยวหรูกระตุกหนวดเสือครั้งแล้วครั้งเล่า ต้อนจนจูตี้จนตรอก จูตี้หมดไม้อ่อน เหลือก็แต่ไม้แข็ง “นี่มันเป็นเรื่องของครอบครัวข้า!!!” “ทหาร! เอากระดาษพู่กันมา ให้มันเขียนโองการครองราชย์ให้ข้าซะดีๆ”
พอพู่กันกระดาษและแท่นหมึกถึงมือฟางเซี่ยวหรูเท่านั้น เขาก็โยนเครื่องเขียนนานาลงพื้นโครมใหญ่ “ต่อให้ข้าต้องตาย โองการแบบนี้ ข้าก็ไม่มีวันเขียน!!!” “ลากมันออกไปเฉือนเนื้อเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นจนตายไปซะ!!!” จูตี้พีกแตก
สำหรับคดีนี้จูตี้ยังสร้างสถิติใหม่ให้กับประวัติศาสตร์จีน จากที่แต่ไหนแต่ไรมามีแต่สั่งให้ประหาร 9 ชั่วโคตร แต่สำหรับฟางเซี่ยวหรู จูตี้จัดให้ถึง 10 ชั่วโคตรแทน (บรรดาลูกศิษย์ และเพื่อนๆ ของฟางเซี่ยวหรูคือโคตรที่ 10)
นอกจากฟางเซี่ยวหรูจะถูกเฉือนเนื้อเป็นหมื่นชิ้น จึงยังมีคนต้องร่วมตายอีก 870 กว่าชีวิต และยังมีอีก 1,300 กว่าชีวิตที่ต้องถูกเนรเทศและลงโทษ
โชคร้ายที่ยุคสมัยนั้นอำนาจผูกอยู่กับผู้ชนะอย่างจูตี้เพียงหนึ่งเดียว และอำนาจนั้นถึงขั้นปลิดชีพใครที่บังอาจขวางทางก็ย่อมได้ แต่กระนั้นก็ตามผู้ใหญ่ในแผ่นดินอย่างฟางเซี่ยวหรูและขุนนางอีกหลายคนก็ยอมใช้ชีวิตแลกความถูกต้อง
ย้อนคิดเรื่องของฟางเซี่ยวหรูและขุนนางจีนยุคนั้นก็อดจินตนาการถึงขุนนางของบ้านเมืองไทยในยุคนี้ไม่ได้
ไม่รู้จะเป็นตามที่ผู้มีเส้นสายบารมี (ประเภทที่แม้จะปลิดชีวิตใครก็ไม่ได้ (แต่สัตว์ป่าตาดำๆ ก็ไม่แน่)) บางคนที่ตนตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างชัดเจนว่ามีส่วนกระทำผิดทำนองคลองธรรมของสังคมอย่างรุนแรงกล่าวอ้างหรือไม่ ว่าเพียงแค่กริ๊งกร๊างไป ผู้ใหญ่ทุกกระทรวงทุกกรมต่างพยักพเยิดแสดงความเห็นใจตนในคดีนี้กันทั้งนั้น


