posttoday

ความ (ไม่) มั่นคงของมนุษย์ในยุคอยุธยา

01 เมษายน 2561

ผมชอบละครบุพเพสันนิวาสที่ให้รายละเอียดของชีวิตผู้คนในอยุธยามากพอสมควร

โดย ดร.เดชรัต สุขกำเนิด 

ผมชอบละครบุพเพสันนิวาสที่ให้รายละเอียดของชีวิตผู้คนในอยุธยามากพอสมควร แม้ตัวละครจะเน้นเล่าถึงชีวิตของครอบครัวขุนนาง แต่ก็พอเห็นวิถีชีวิตของผู้คนในฐานันดรอื่นๆ ด้วย

เพียงแต่ว่าผู้ชมอย่างเราอาจจะไม่ได้สนใจชีวิตของตัวละครอื่นๆ (นอกจากตัวละครหลักที่เป็นขุนนางเป็นส่วนใหญ่) มากนัก บทความนี้จึงขอขยายความถึงความมั่นคงของชีวิตผู้คนในอยุธยา

ชีวิตไพร่

ในกระแสที่คนไทยบางส่วนนิยมแต่งตัวย้อนยุคในปัจจุบัน แต่เราก็แทบไม่เห็นคนไทยย้อนยุคไปแต่งตัวเป็นไพร่ แม้ว่า “ไพร่” จะเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอยุธยาก็ตาม

นั่นเป็นเพราะชีวิตของ “ไพร่” ในอยุธยาก็ไม่น่าภิรมย์สักเท่าไรนัก

แม้ว่า “ไพร่” จะไม่ใช่ชนชั้นล่างสุดของสังคมอยุธยา และถือกันว่า “ไพร่” เป็นชนชั้นที่มี “อิสระ” ต่างจากทาสที่ปราศจากอิสระ

แต่การเป็นอิสระนั้นไม่ใช่ความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ แต่ต้องแลกมาด้วยการทำงานให้ราชการที่เรียกว่าการเกณฑ์แรงงาน ไปทำงานในสภาพการทำงานที่ไม่ค่อยปลอดภัยนัก หรือไม่ก็ต้องส่งส่วยให้กับขุนนาง เจ้านาย หรือกษัตริย์

ในละครเราจะเห็นว่าไพร่บางคนพยายามหลีกหนีการเกณฑ์แรงงานไปสร้างป้อมปราการ เมกะโปรเจกต์แห่งยุคขุนหลวงนารายณ์ ด้วยการมาขายตัวเป็นทาสที่บ้านออกญาโหราธิบดี เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่สามารถหาส่วยมาให้ขุนนาง (เช่น ออกญาโกษาธิบดี) ก็ยอมขายตัวเพื่อมาเป็นทาสเช่นกัน

ชีวิตทาส

ดังนั้น อิสรภาพในยุคอยุธยาจึงมีต้นทุนที่ต้องจ่าย และหากไม่สามารถจ่ายได้ การยอมเสียอิสรภาพและกลายมาเป็นทาสก็เป็นทางเลือกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เพราะการเป็นทาสก็ยังมีหลักประกันที่จะมีข้าวปลาอาหารทาน (แม้จะไม่สมบูรณ์) แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยอิสรภาพของตนเอง

ต้นทุนที่หนักที่สุดของการสูญเสียอิสรภาพไม่ใช่การทำงานหนัก แต่เป็นการถูกลงโทษลงทัณฑ์จากผู้เป็นนาย โดยไม่ต้องไถ่ถามความเป็นธรรม ดังเช่นแม่ปริก พี่ผิน พี่แย้ม จะต้องถูกแม่หญิงการะเกด (คนเดิม) ตบตี ด่าทอ ถูกใช้ให้ไปทำผิด

พี่แย้มจึงบอกกับแม่หญิงการะเกด (คนใหม่) ว่า การเป็นทาสจึงจำเป็นต้องลุ้นว่าจะได้นายที่มีเมตตาหรือไม่? และส่วนใหญ่คำตอบคือ ไม่ (ยึดตามคำพูดของพี่แย้ม)

ชีวิตขุนนาง

ในชนชั้นขุนนาง ซึ่งเป็นตัวละครหลักของเรื่อง ที่ดูน่าจะชิลๆ เพราะการงานต่างๆ ก็มีบ่าวไพร่คอยบริการ แต่ในละครไม่ได้เล่าถึงเงื่อนไขในการเลี้ยงตน (และบ่าวไพร่) ของขุนนางมากนัก

ในอยุธยาขุนนางมิใช่ได้รับเงินเดือนเช่นในปัจจุบัน แต่กษัตริย์หรือขุนหลวงจะพระราชทาน “เงินปี” ซึ่งก็มิได้มากนัก ดังนั้นการดำรงชีพของขุนนางจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ (หรือศักดินา) ที่ตนมี อันหมายถึงที่ดิน บ่าวไพร่ และหน้าที่การงาน ในการหาเลี้ยงตนและคนในเรือน

การใช้หน้าที่การงานเพื่อหาประโยชน์ของหลวงและของตนจึงดำเนินควบคู่กันไป (แบบที่ใครๆ ในอยุธยา) เขาก็ทำกัน ดังที่ในละครเราได้เห็นขุนเหล็ก (ออกญาโกษาธิบดี) ได้นำของกำนัลเข้าบ้านเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น ความทับซ้อนของผลประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวมจึงเป็นเรื่องที่แบ่งยากมากในสมัยนั้น และน่าจะส่งผลต่อความนึกคิดของเหล่าขุนนาง

แต่การทำเช่นนั้นไม่ใช่ไม่มีความเสี่ยง เพราะเส้นแบ่งที่เบลอนั้นเอง ขุนนางก็อาจถูกตัดสินให้มีความผิดได้ไม่ยาก เช่นในละครเราทราบดีว่า ในที่สุดขุนเหล็กก็ถูกลงโทษด้วยการโบยจนเสียชีวิต เพราะรับสินน้ำใจ (ในมุมมองของขุนเหล็ก) จากผู้ที่ไม่ต้องการให้มีการสร้างป้อมปราการ

แม้กระทั่งออกพระวิสูตรสุนทร (ขุนปาน) ซึ่งต่อมาก็ก้าวขึ้นมาเป็นออกญาโกษาธิบดี ขุนนางที่สำคัญอันดับ 2 ของแผ่นดิน ตำแหน่งเดียวกับพี่ชาย สุดท้ายก็ถูกขุนหลวงเพทราชาลงโทษ และขุนปานก็ฆ่าตัวตายในที่สุด

ชีวิตของขุนหลวง

มาถึงขุนหลวงหรือกษัตริย์หรือเหล่าเจ้านายทั้งหลาย ผู้ซึ่งอยู่บนยอดสุดของพีระมิดและอำนาจในกรุงศรีอยุธยา

หากมองผิวเผินการอยู่บนยอดสุดของสังคมน่าจะมีความมั่นคงมาก แต่ในประวัติศาสตร์การแย่งชิงอำนาจกันอย่างเข้มข้น ภายใต้กติกาที่คลุมเครือ (นอกจากกติกาที่ว่าผู้ชนะคือผู้มีอำนาจ) ก็ได้ทำให้กษัตริย์หรือรัชทายาทถูกโค่นล้มและปลงพระชนม์ไปไม่น้อย

ตัวอย่างเช่น ก่อนที่พระเจ้าปราสาททอง (บิดาของขุนหลวงนารายณ์) จะก้าวขึ้นมาเป็นขุนหลวง ก็ต้องโค่นล้มพระเชษฐา และพระอาทิตยวงศ์ และก่อนที่ขุนหลวงนารายณ์จะครองราชย์ก็ต้องโค่นล้มเจ้าฟ้าไชย (พี่ชาย) และพระศรีสุธรรมราชา (อา) ก่อนทั้งสิ้น และทุกคนที่ถูกโค่นล้มก็มีจุดจบคือการถูกสำเร็จโทษทั้งสิ้น

เช่นเดียวกับพระปีย์ โอรสบุญธรรมของขุนหลวงนารายณ์ก็จะถูกพระเพทราชาสำเร็จโทษ เพื่อก้าวขึ้นเป็นขุนหลวง และต่อมาเจ้าพระขวัญโอรสของพระเพทราชาก็ถูกลอบปลงพระชนม์เพื่อให้ออกหลวงสรศักดิ์ได้ก้าวขึ้นเป็นพระเจ้าเสือเช่นกัน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าชีวิตของขุนหลวงและเจ้านายจึงวางอยู่บนเส้นด้ายของการแย่งชิงอำนาจในหมู่เจ้านาย (ซึ่งก็คือพี่น้อง) และขุนนางชั้นสูง (ซึ่งก็คือลูกน้องคนสนิทหรือเพื่อน) เช่นกัน

อำนาจและความสั่นคลอนของชีวิต

หากมองในภาพรวม การออกแบบสังคมอยุธยาเน้นการกำหนดช่วงชั้นของอำนาจเพื่อให้เกิดการควบคุมและดูแลกันเป็นลำดับขั้น รวมถึงระบบสวัสดิการในชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่อยู่อำนาจในการควบคุมดูแลตนเช่นเดียวกัน

ในระบบเช่นนี้ ความภักดี (กล่าวในมุมของผู้ที่อยู่ต่ำกว่า) และการอุปถัมภ์ (กล่าวในมุมของผู้ที่อยู่สูงกว่า) จึงมีความสำคัญมาก และหลายเรื่องความภักดีและการอุปถัมภ์ก็ไม่มีขอบเขตหรือกติกาที่แน่ชัด

ดังนั้น ในมุมมองของคนรุ่นหลัง การกำหนดหลักเกณฑ์แห่งความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน (มากขึ้น) และการเคารพในสิทธิที่ทุกชีวิตพึงมี จะสร้างความมั่นคงในชีวิตได้มากกว่า และสร้างความน่าอยู่และความเข้มแข็งของสังคมไปพร้อมๆ กัน

เราจึงเห็นแม่หญิงการะเกด (หรือเกศสุรางค์) ตกใจหลายครั้ง เมื่อทราบถึงกติกาและความสัมพันธ์ของผู้คนในอยุธยา และแม่หญิงก็พยายามสื่อสารกับชาวอยุธยาหลายครั้งว่า คนกับคนนั้นเท่ากัน

จากอยุธยาถึงอนาคต

แน่นอนว่า เราไม่ควรกล่าวโทษผู้คนหรือสังคมอยุธยา เพราะทุกอย่างเป็นพัฒนาการของสังคมในยุคนั้น แต่เราก็ควรเข้าใจว่าข้อจำกัดของสังคมในแต่ละยุคสมัยเป็นอย่างไร? และควรศึกษาว่าบรรพบุรุษในยุคต่อๆ มาแก้ไขข้อจำกัดเหล่านั้นได้อย่างไร?

หากนึกถึงแม่หญิงการะเกด บรรพบุรุษผู้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมไทยเหล่านั้น ย่อมต้องเริ่มต้นจากการถูกมองแปลกๆ หรือถูกตั้งคำถาม หรือถูกตำหนิ หรือกระทั่งถูกคุกคาม แต่เพราะความเพียรพยายามไม่ยอมหยุดของผู้ที่ดูแปลกๆ ในสังคมยุคก่อนๆ ชีวิตของเรารุ่นหลังจึงค่อยๆ ก้าวพ้นจากความสั่นคลอนในยุคที่ผ่านมา

ดังนั้น ในพัฒนาการของสังคมไทย ทั้งบรรพบุรุษและคนรุ่นใหม่จึงมีความสำคัญเท่าๆ กัน บรรพบุรุษอาจวางรากฐานให้กับสังคม แต่คนรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับจินตนาการที่คนรุ่นเก่าอาจไม่เคยคิดถึงหรือไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ จะช่วยต่อเติม/ตัดแต่ง/รื้อถอน/ปรับเปลี่ยน ให้สังคมของเราวัฒนาน่าอยู่ยิ่งขึ้น

ความสวยงามของละครบุพเพสันนิวาสจึงมิได้อยู่ที่การ “ธำรง” ความเป็นไทยเอาไว้เช่นเดิม แต่อยู่ที่ทั้งแม่หญิงการะเกด คุณพี่เดช ออกญาโหราธิบดี จีนฮง พี่แย้ม ฯลฯ ล้วนแสดงให้เห็นว่าความเป็นไทยนั้นมีความ “วัฒนา” ไปได้มากมายอย่างไร เมื่อคนต่างรุ่น ต่างที่มา ต่างความฝัน มาเปิดใจ และเรียนรู้ร่วมกัน

การเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนต่างรุ่น ระหว่างความสวยงามกับความทุกข์ยาก ระหว่างความคุ้นเคยกับความใฝ่ฝัน จึงเป็น “ธรรม” สำคัญ ที่ช่วยให้สังคมไทยนำความแตกต่างหลากหลายมา “วัฒนา” จนเป็นวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งตลอดมา และตลอดไป

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา