ความ (ไม่) มั่นคงของมนุษย์ในยุคอยุธยา
ผมชอบละครบุพเพสันนิวาสที่ให้รายละเอียดของชีวิตผู้คนในอยุธยามากพอสมควร
โดย ดร.เดชรัต สุขกำเนิด
ผมชอบละครบุพเพสันนิวาสที่ให้รายละเอียดของชีวิตผู้คนในอยุธยามากพอสมควร แม้ตัวละครจะเน้นเล่าถึงชีวิตของครอบครัวขุนนาง แต่ก็พอเห็นวิถีชีวิตของผู้คนในฐานันดรอื่นๆ ด้วย
เพียงแต่ว่าผู้ชมอย่างเราอาจจะไม่ได้สนใจชีวิตของตัวละครอื่นๆ (นอกจากตัวละครหลักที่เป็นขุนนางเป็นส่วนใหญ่) มากนัก บทความนี้จึงขอขยายความถึงความมั่นคงของชีวิตผู้คนในอยุธยา
ชีวิตไพร่
ในกระแสที่คนไทยบางส่วนนิยมแต่งตัวย้อนยุคในปัจจุบัน แต่เราก็แทบไม่เห็นคนไทยย้อนยุคไปแต่งตัวเป็นไพร่ แม้ว่า “ไพร่” จะเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอยุธยาก็ตาม
นั่นเป็นเพราะชีวิตของ “ไพร่” ในอยุธยาก็ไม่น่าภิรมย์สักเท่าไรนัก
แม้ว่า “ไพร่” จะไม่ใช่ชนชั้นล่างสุดของสังคมอยุธยา และถือกันว่า “ไพร่” เป็นชนชั้นที่มี “อิสระ” ต่างจากทาสที่ปราศจากอิสระ
แต่การเป็นอิสระนั้นไม่ใช่ความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ แต่ต้องแลกมาด้วยการทำงานให้ราชการที่เรียกว่าการเกณฑ์แรงงาน ไปทำงานในสภาพการทำงานที่ไม่ค่อยปลอดภัยนัก หรือไม่ก็ต้องส่งส่วยให้กับขุนนาง เจ้านาย หรือกษัตริย์
ในละครเราจะเห็นว่าไพร่บางคนพยายามหลีกหนีการเกณฑ์แรงงานไปสร้างป้อมปราการ เมกะโปรเจกต์แห่งยุคขุนหลวงนารายณ์ ด้วยการมาขายตัวเป็นทาสที่บ้านออกญาโหราธิบดี เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่สามารถหาส่วยมาให้ขุนนาง (เช่น ออกญาโกษาธิบดี) ก็ยอมขายตัวเพื่อมาเป็นทาสเช่นกัน
ชีวิตทาส
ดังนั้น อิสรภาพในยุคอยุธยาจึงมีต้นทุนที่ต้องจ่าย และหากไม่สามารถจ่ายได้ การยอมเสียอิสรภาพและกลายมาเป็นทาสก็เป็นทางเลือกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะการเป็นทาสก็ยังมีหลักประกันที่จะมีข้าวปลาอาหารทาน (แม้จะไม่สมบูรณ์) แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยอิสรภาพของตนเอง
ต้นทุนที่หนักที่สุดของการสูญเสียอิสรภาพไม่ใช่การทำงานหนัก แต่เป็นการถูกลงโทษลงทัณฑ์จากผู้เป็นนาย โดยไม่ต้องไถ่ถามความเป็นธรรม ดังเช่นแม่ปริก พี่ผิน พี่แย้ม จะต้องถูกแม่หญิงการะเกด (คนเดิม) ตบตี ด่าทอ ถูกใช้ให้ไปทำผิด
พี่แย้มจึงบอกกับแม่หญิงการะเกด (คนใหม่) ว่า การเป็นทาสจึงจำเป็นต้องลุ้นว่าจะได้นายที่มีเมตตาหรือไม่? และส่วนใหญ่คำตอบคือ ไม่ (ยึดตามคำพูดของพี่แย้ม)
ชีวิตขุนนาง
ในชนชั้นขุนนาง ซึ่งเป็นตัวละครหลักของเรื่อง ที่ดูน่าจะชิลๆ เพราะการงานต่างๆ ก็มีบ่าวไพร่คอยบริการ แต่ในละครไม่ได้เล่าถึงเงื่อนไขในการเลี้ยงตน (และบ่าวไพร่) ของขุนนางมากนัก
ในอยุธยาขุนนางมิใช่ได้รับเงินเดือนเช่นในปัจจุบัน แต่กษัตริย์หรือขุนหลวงจะพระราชทาน “เงินปี” ซึ่งก็มิได้มากนัก ดังนั้นการดำรงชีพของขุนนางจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ (หรือศักดินา) ที่ตนมี อันหมายถึงที่ดิน บ่าวไพร่ และหน้าที่การงาน ในการหาเลี้ยงตนและคนในเรือน
การใช้หน้าที่การงานเพื่อหาประโยชน์ของหลวงและของตนจึงดำเนินควบคู่กันไป (แบบที่ใครๆ ในอยุธยา) เขาก็ทำกัน ดังที่ในละครเราได้เห็นขุนเหล็ก (ออกญาโกษาธิบดี) ได้นำของกำนัลเข้าบ้านเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ความทับซ้อนของผลประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวมจึงเป็นเรื่องที่แบ่งยากมากในสมัยนั้น และน่าจะส่งผลต่อความนึกคิดของเหล่าขุนนาง
แต่การทำเช่นนั้นไม่ใช่ไม่มีความเสี่ยง เพราะเส้นแบ่งที่เบลอนั้นเอง ขุนนางก็อาจถูกตัดสินให้มีความผิดได้ไม่ยาก เช่นในละครเราทราบดีว่า ในที่สุดขุนเหล็กก็ถูกลงโทษด้วยการโบยจนเสียชีวิต เพราะรับสินน้ำใจ (ในมุมมองของขุนเหล็ก) จากผู้ที่ไม่ต้องการให้มีการสร้างป้อมปราการ
แม้กระทั่งออกพระวิสูตรสุนทร (ขุนปาน) ซึ่งต่อมาก็ก้าวขึ้นมาเป็นออกญาโกษาธิบดี ขุนนางที่สำคัญอันดับ 2 ของแผ่นดิน ตำแหน่งเดียวกับพี่ชาย สุดท้ายก็ถูกขุนหลวงเพทราชาลงโทษ และขุนปานก็ฆ่าตัวตายในที่สุด
ชีวิตของขุนหลวง
มาถึงขุนหลวงหรือกษัตริย์หรือเหล่าเจ้านายทั้งหลาย ผู้ซึ่งอยู่บนยอดสุดของพีระมิดและอำนาจในกรุงศรีอยุธยา
หากมองผิวเผินการอยู่บนยอดสุดของสังคมน่าจะมีความมั่นคงมาก แต่ในประวัติศาสตร์การแย่งชิงอำนาจกันอย่างเข้มข้น ภายใต้กติกาที่คลุมเครือ (นอกจากกติกาที่ว่าผู้ชนะคือผู้มีอำนาจ) ก็ได้ทำให้กษัตริย์หรือรัชทายาทถูกโค่นล้มและปลงพระชนม์ไปไม่น้อย
ตัวอย่างเช่น ก่อนที่พระเจ้าปราสาททอง (บิดาของขุนหลวงนารายณ์) จะก้าวขึ้นมาเป็นขุนหลวง ก็ต้องโค่นล้มพระเชษฐา และพระอาทิตยวงศ์ และก่อนที่ขุนหลวงนารายณ์จะครองราชย์ก็ต้องโค่นล้มเจ้าฟ้าไชย (พี่ชาย) และพระศรีสุธรรมราชา (อา) ก่อนทั้งสิ้น และทุกคนที่ถูกโค่นล้มก็มีจุดจบคือการถูกสำเร็จโทษทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับพระปีย์ โอรสบุญธรรมของขุนหลวงนารายณ์ก็จะถูกพระเพทราชาสำเร็จโทษ เพื่อก้าวขึ้นเป็นขุนหลวง และต่อมาเจ้าพระขวัญโอรสของพระเพทราชาก็ถูกลอบปลงพระชนม์เพื่อให้ออกหลวงสรศักดิ์ได้ก้าวขึ้นเป็นพระเจ้าเสือเช่นกัน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าชีวิตของขุนหลวงและเจ้านายจึงวางอยู่บนเส้นด้ายของการแย่งชิงอำนาจในหมู่เจ้านาย (ซึ่งก็คือพี่น้อง) และขุนนางชั้นสูง (ซึ่งก็คือลูกน้องคนสนิทหรือเพื่อน) เช่นกัน
อำนาจและความสั่นคลอนของชีวิต
หากมองในภาพรวม การออกแบบสังคมอยุธยาเน้นการกำหนดช่วงชั้นของอำนาจเพื่อให้เกิดการควบคุมและดูแลกันเป็นลำดับขั้น รวมถึงระบบสวัสดิการในชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่อยู่อำนาจในการควบคุมดูแลตนเช่นเดียวกัน
ในระบบเช่นนี้ ความภักดี (กล่าวในมุมของผู้ที่อยู่ต่ำกว่า) และการอุปถัมภ์ (กล่าวในมุมของผู้ที่อยู่สูงกว่า) จึงมีความสำคัญมาก และหลายเรื่องความภักดีและการอุปถัมภ์ก็ไม่มีขอบเขตหรือกติกาที่แน่ชัด
ดังนั้น ในมุมมองของคนรุ่นหลัง การกำหนดหลักเกณฑ์แห่งความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน (มากขึ้น) และการเคารพในสิทธิที่ทุกชีวิตพึงมี จะสร้างความมั่นคงในชีวิตได้มากกว่า และสร้างความน่าอยู่และความเข้มแข็งของสังคมไปพร้อมๆ กัน
เราจึงเห็นแม่หญิงการะเกด (หรือเกศสุรางค์) ตกใจหลายครั้ง เมื่อทราบถึงกติกาและความสัมพันธ์ของผู้คนในอยุธยา และแม่หญิงก็พยายามสื่อสารกับชาวอยุธยาหลายครั้งว่า คนกับคนนั้นเท่ากัน
จากอยุธยาถึงอนาคต
แน่นอนว่า เราไม่ควรกล่าวโทษผู้คนหรือสังคมอยุธยา เพราะทุกอย่างเป็นพัฒนาการของสังคมในยุคนั้น แต่เราก็ควรเข้าใจว่าข้อจำกัดของสังคมในแต่ละยุคสมัยเป็นอย่างไร? และควรศึกษาว่าบรรพบุรุษในยุคต่อๆ มาแก้ไขข้อจำกัดเหล่านั้นได้อย่างไร?
หากนึกถึงแม่หญิงการะเกด บรรพบุรุษผู้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมไทยเหล่านั้น ย่อมต้องเริ่มต้นจากการถูกมองแปลกๆ หรือถูกตั้งคำถาม หรือถูกตำหนิ หรือกระทั่งถูกคุกคาม แต่เพราะความเพียรพยายามไม่ยอมหยุดของผู้ที่ดูแปลกๆ ในสังคมยุคก่อนๆ ชีวิตของเรารุ่นหลังจึงค่อยๆ ก้าวพ้นจากความสั่นคลอนในยุคที่ผ่านมา
ดังนั้น ในพัฒนาการของสังคมไทย ทั้งบรรพบุรุษและคนรุ่นใหม่จึงมีความสำคัญเท่าๆ กัน บรรพบุรุษอาจวางรากฐานให้กับสังคม แต่คนรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับจินตนาการที่คนรุ่นเก่าอาจไม่เคยคิดถึงหรือไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ จะช่วยต่อเติม/ตัดแต่ง/รื้อถอน/ปรับเปลี่ยน ให้สังคมของเราวัฒนาน่าอยู่ยิ่งขึ้น
ความสวยงามของละครบุพเพสันนิวาสจึงมิได้อยู่ที่การ “ธำรง” ความเป็นไทยเอาไว้เช่นเดิม แต่อยู่ที่ทั้งแม่หญิงการะเกด คุณพี่เดช ออกญาโหราธิบดี จีนฮง พี่แย้ม ฯลฯ ล้วนแสดงให้เห็นว่าความเป็นไทยนั้นมีความ “วัฒนา” ไปได้มากมายอย่างไร เมื่อคนต่างรุ่น ต่างที่มา ต่างความฝัน มาเปิดใจ และเรียนรู้ร่วมกัน
การเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนต่างรุ่น ระหว่างความสวยงามกับความทุกข์ยาก ระหว่างความคุ้นเคยกับความใฝ่ฝัน จึงเป็น “ธรรม” สำคัญ ที่ช่วยให้สังคมไทยนำความแตกต่างหลากหลายมา “วัฒนา” จนเป็นวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งตลอดมา และตลอดไป


