ลิงแก้แห
สมผล ตระกูลรุ่ง "ลิงแก้แห" เป็นสำนวนไทย ที่คนสมัยก่อนเตือนคนที่มีหน้าที่แก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาของตนเองหรือของผู้อื่น เตือนให้ระมัดระวัง จะแก้ปัญหาใดๆ ให้พึงคิดพิจารณา ไตร่ตรองให้รอบคอบ หาข้อมูลความรู้ครบถ้วนรอบด้านก่อนการตัดสินใจ หากแก้ไขปัญหาโดยไม่รู้จริงหรือโดยมีอคติด้วยผลประโยชน์แอบแฝง นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ยังสร้างปัญหาเพิ่มให้หนักขึ้นไปอีก จนในที่สุดจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เลย
สมผล ตระกูลรุ่ง
"ลิงแก้แห" เป็นสำนวนไทย ที่คนสมัยก่อนเตือนคนที่มีหน้าที่แก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาของตนเองหรือของผู้อื่น เตือนให้ระมัดระวัง จะแก้ปัญหาใดๆ ให้พึงคิดพิจารณา ไตร่ตรองให้รอบคอบ หาข้อมูลความรู้ครบถ้วนรอบด้านก่อนการตัดสินใจ หากแก้ไขปัญหาโดยไม่รู้จริงหรือโดยมีอคติด้วยผลประโยชน์แอบแฝง นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ยังสร้างปัญหาเพิ่มให้หนักขึ้นไปอีก จนในที่สุดจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เลย
สำนวน "ลิงแก้แห" มีที่มาจากลิงที่อาศัยอยู่ชายป่าริมน้ำ ลิงมันเห็นชาวบ้านทอดแหจับปลาในน้ำ มันเห็นชาวบ้านได้ปลาได้กุ้งจากการทอดแหทุกวัน จนมันคิดว่า มันเองก็สามารถทอดแหได้ ซึ่งจะทำให้มันได้กุ้ง ปลา มากินได้สบายๆ วันหนึ่งชาวบ้านวางแหทิ้งไว้ที่ริมน้ำ เจ้าลิงเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงเข้าไปหยิบเอาแหมาด้วยความมั่นใจว่า จะใช้จับปลากินบ้าง แต่ด้วยความที่มันไม่รู้วิธีใช้แห ประกอบกับนิ้วมือ นิ้วเท้า เล็บ ของลิง ยาวเรียวเก้งก้าง แหจึงพันเกี่ยวจนยุ่งเหยิง จะแกะอย่างไรก็ไม่หลุด แกะนิ้วนี้ยังไม่ทันหลุด แหก็ไปพันเอานิ้วอื่น เท้าอื่น นัวเนียยุ่งเหยิงมากขึ้นทุกที ยิ่งดิ้นยิ่งพันแน่นจนพันไปทั้งตัวและพลัดตกลงจมน้ำตายในที่สุด
เจ้าลิงตัวนี้มันคิดว่ามันเก่ง ตัวเองฉลาดรอบรู้ แท้ที่จริงแล้วมันโง่ มันมองแต่ผลประโยชน์ที่มันจะได้กุ้งได้ปลา มันจึงติดกับดักของผลประโยชน์ที่ตัวมันเองสร้างขึ้น มันลำพองตัวเอง มันจึงพยายามแก้แห แต่มันแก้ผิดวิธี ดังนั้น นอกจากมันจะแก้ไม่ได้แล้ว แหยังพันตัวเองจนเอาตัวไม่รอด
คนที่กำลังแก้ปัญหาเรื่องนาฬิกาหรูก็เช่นกัน ยิ่งแก้ตัวมากเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มปัญหาให้มากขึ้น เพิ่มประเด็นใหม่ที่มัดตัวเองให้แน่นเข้า จนถึงวันนี้ ผู้คนไม่เฉพาะนักกฎหมายที่เคลือบแคลงสงสัยในคำตอบ ทั้งตัวลุงป้อมเอง ทั้งที่ปรึกษากฎหมายที่ออกมาปกป้อง รวมทั้ง ป.ป.ช.ที่ออกท่าทีชัดเจนว่า งานนี้จะเป็นมวยล้มต้มคนทั้งประเทศ
กรรมการ ป.ป.ช.กำลังจะเอาองค์กรที่กฎหมายตั้งขึ้นเพื่อปราบคนทุจริตคนโกง ให้กลายเป็นเพียงแค่ผงซักฟอก ที่ทำหน้าที่เพียงเสือกระดาษล้างสีดำออกไปให้ดูขาวสะอาดตามตัวอักษร แต่สีดำยังคงเปรอะเปื้อนอยู่เต็มตัว ป.ป.ช.กำลังจะล้มละลายในความเชื่อถือ
การแจ้งทรัพย์สินของนักการเมือง มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 32 ว่า
"ให้ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามที่มีอยู่จริงใน วันที่เข้ารับตําแหน่งหรือวันที่พ้นจาก ตําแหน่งต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทุกครั้งที่เข้ารับตําแหน่งและพ้นจากตําแหน่ง แล้วแต่กรณีตามแบบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ประกาศกําหนด
ทรัพย์สินและหนี้สินที่ต้องแสดงรายการให้รวมทั้งทรัพย์สินและหนี้สินในต่างประเทศ และให้รวมถึงทรัพย์สินของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองที่มอบหมายให้อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมด้วย"
เสียดายที่วรรคสองบังคับเพียงทรัพย์สินของนักการเมืองที่ไปฝากไว้กับคนอื่น ไม่ได้บัญญัติในทางกลับกันไว้ นักกฎหมายศรีธนญชัยจึงเห็นช่องเล็กๆ ที่จะเอาตัวลอด แต่บังเอิญปัญหาที่เผชิญอยู่ มันใหญ่กว่าช่องเล็กๆ ของกฎหมาย เหมือนจะพยายามดันหมูตัวอ้วนๆ ให้ผ่านช่องแคบเล็กๆ ให้ได้ แม้จะดันจนผ่านไปได้แต่หมูก็คงเต็ม ไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะทั่วตัว หมดสภาพความเป็นหมู
คำว่า "ทรัพย์สินและหนี้สินของตน" นั้น จะหมายความอย่างไร ต้อง ถึงกับเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือไม่ ถ้ามีแค่สิทธิครอบครองจะถือว่าเป็น "ของตน" หรือไม่
ในทางกฎหมาย ที่ดิน น.ส.3 ไม่มีใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เพราะกฎหมายให้ได้เพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น ฉะนั้น "ของตน" จึงน่าจะหมายถึงการจะทำอะไรกับทรัพย์สินนั้นก็ได้ จะขายหรือจะเก็บไว้เฉยๆ หรือจะเผาทำลายทิ้งก็ได้ เพราะเป็นของๆ ตน
ในกรณียืมของเพื่อนมา เป็นสัญญายืม โดยสภาพก็น่าจะใช้งานอย่างใดก็ได้ จะเก็บไว้เฉยๆ ก็ได้ แต่จะนำไปขายหรือทำลายไม่ได้ เพราะกรรมสิทธิ์ยังเป็นของเพื่อน แล้วถ้าเป็นทรัพย์สินที่เช่าซื้อมายังผ่อนไม่หมด จะต้องแจ้ง ป.ป.ช.ด้วยหรือไม่ เพราะตามสัญญาเช่าซื้อ กรรมสิทธิ์ยังเป็นของ ผู้ให้เช่าซื้อ ไม่มีสิทธิเอาไปขายหรือ เอาไปเผาทำลายทิ้ง
ถ้าเช่าซื้อรถยนต์หรูราคา 20 ล้านมาขับ บ้านราคา 50 ล้านก็เช่าซื้ออยู่ ทรัพย์สินทั้งสองรายการจะต้องแจ้ง ป.ป.ช.ด้วยหรือไม่ ถ้าไม่ต้องแจ้ง จะปราบปรามการทุจริตได้อย่างไร ถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อต้องแจ้ง แล้วทรัพย์สินที่ยืมมาทำไมไม่ต้องแจ้ง ในทางกฎหมายมันต่างกันอย่างไร
การยืนยันว่ายืมนาฬิกาเพื่อน การที่ ป.ป.ช.ออกมารับลูกว่า ถ้ายืมเพื่อนก็ไม่ต้องแจ้งนั้น เป็นเหมือนแหที่พันให้ต้องแก้อีกชั้น แม้จะข้างๆ คูๆ หลบจากการแจ้งได้ก็มาเจอการรับประโยชน์ ตามมาตรา 103
"ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคล นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์และจํานวน ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กําหนด
บทบัญญัติในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของผู้ซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแล้วยังไม่ถึงสองปีด้วยโดยอนุโลม"
มาตรา 103 ไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐในขณะดำรงตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งภายใน 2 ปี รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด คำว่าประโยชน์อื่นใดนี้ ไม่ใช่ตัวทรัพย์ แต่เป็นประโยชน์จากตัวทรัพย์ เช่น การให้ยืมรถยนต์มาใช้ การให้ยืมบ้านอยู่ฟรี ย่อมเป็นประโยชน์ที่ได้ใช้รถได้อยู่บ้าน เพราะรถก็ดี บ้านก็ดี ปกติถ้าจะได้ใช้ก็ต้องไปซื้อหามา ถ้าไม่ซื้อหาก็ต้องไปเช่ามา ฉะนั้น การได้ใช้รถเพราะเพื่อนให้ยืม จึงเข้าข่าย "ประโยชน์อื่นใด" อย่างแน่นอน การยืมนาฬิกาหรูๆ มาใช้ใส่ออกงานจนถูกถ่ายภาพไว้ถึง 25 เรือน ย่อมเป็นประโยชน์อื่นใดที่ได้รับ แต่นาฬิกาอาจไม่เหมือนรถยนต์หรือบ้าน ที่มีการเช่ากันในท้องตลาด หาอัตราค่าเช่าเทียบเคียงได้ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีธุรกิจให้เช่านาฬิกาหรู จะทำอย่างไร
ประเด็นนี้ถ้าขึ้นศาล จะง่ายมาก เพราะศาลท่านจะใช้ดุลพินิจว่า อาจให้เช่าได้ในราคาเท่าใด วิธีการก็คงประเมินจากราคาของนาฬิกา ค่าเช่าสำหรับนาฬิการาคาแพงย่อมสูงกว่านาฬิกาถูกเป็นหลักทั่วไป และถ้าจะเทียบเคียงทรัพย์สินที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ก็น่าจะเทียบกับการให้เช่าเครื่องประดับ ซึ่งน่าจะมีการให้เช่าอยู่บ้าง ถ้าไม่รู้ว่าจะหาที่ไหน ลองถามจากออร์แกไนเซอร์ที่รับจัดงานแต่งงานก็น่าจะได้
นาฬิกายืมเพื่อนมาใส่ คงไม่จบง่ายๆ อย่างที่คิด n


