posttoday

โหดเหี้ยมอย่างโจโฉ นักการเมือง-ทหาร

07 มกราคม 2561

โจโฉเป็นคนแปลก เพราะเรื่องเล่าของโจโฉมีหลายแง่หลายมุมแต่ละมุมล้วนเล่าในทางสุดโต่งได้หมด

โจโฉเป็นคนแปลก เพราะเรื่องเล่าของโจโฉมีหลายแง่หลายมุมแต่ละมุมล้วนเล่าในทางสุดโต่งได้หมด โจโฉเป็นทั้งคนใจดีและคนโหดเหี้ยม ใจแคบและใจกว้าง หยิ่งผยองและถ่อมตัว ชั่วช้าและน่ารัก อีกทั้งเป็นนักการทหารและนักการเมืองในคนคนเดียวสุดแท้แต่จะเลือกหยิบยกส่วนไหนขึ้นมาแสดง

ในด้านความโหดเหี้ยม ชีวิตโจโฉสั่งฆ่าคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชามาไม่น้อย ไม่ว่าจะในช่วงแรกที่โจโฉดูมีอุดมการณ์ฟื้นแผ่นดินฮั่น หรือในช่วงหลังที่บ้าอำนาจขึ้นทุกที

การฆ่าสังหารนั้นเป็นเรื่องจำเป็นของยุคสมัยนั้น และเพราะการเมืองในกลียุคเมื่อ 1,800 ปีที่แล้วอนุมัติให้ฆ่า โจโฉจึงสามารถและยินดีใช้วิธีนี้แต่ก็ใช่ว่าโจโฉจะฆ่าทุกครั้งที่ขัดใจ

โจโฉเองนี่แหละที่ประกาศกระตุ้นให้ผู้ช่วยเขาด้วยวิธีพูดความจริง จะชี้ข้อบกพร่องอะไรก็ว่ามา ไม่ต้องกลัวโจโฉขัดเคืองใจ เพราะโจโฉรู้ด้วยใจจริงว่า คำตำหนิติเตียนเป็นประโยชน์ในระยะยาว

ที่จริงเรื่องโจโฉพูดแบบนี้ได้ไม่ต้องยกยอโจโฉให้มากมาย ใครมีประสบการณ์และวุฒิภาวะมากพอก็ย่อมรู้เรื่องนี้ดี

แต่เพราะคนที่มีประสบการณ์ทางการเมืองย่อมรู้อีกว่าไม่ใช่คำติเตียนทุกคำจะส่งผลดี ขึ้นชื่อว่าเป็นนักการเมือง ย่อมมีศัตรูทางการเมืองที่จ้องโจมตีและทำร้ายกันด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ โจโฉในฐานะนักการทหารและนักการเมืองที่มีปัญญาไม่ยิ่งหย่อน ย่อมจำเป็นต้องลดค่าและปราบปรามคำวิจารณ์กลุ่มนี้ ไม่ต่างกับผู้นำทั่วไป

ก็ต้องแยกแยะคำติเตียนทั้งสองแบบให้ได้

ซึ่งพูดง่ายแต่ทำยาก หลายคนถึงยังติดอยู่ที่กับดักอารมณ์ ถือเอาว่าเป็นคำติที่ฟังดูเป็นมิตรและเข้าทางคือคำติที่ดี ส่วนคำติที่กดดันตัวตนคือคำติที่เลว ...อารมณ์ล้วนๆ

แต่ดูเหมือนโจโฉจะแยกแยะได้...เช่นกรณีของขงหยง

ขงหยงคือทายาทขงจื่อรุ่นที่ 20 และเนื่องจากราชวงศ์ฮั่นเชิดชูอุดมการณ์แนวคิดขงจื่อเป็นอุดมการณ์สูงสุด ทายาทของขงจื่อจึงได้รับตำแหน่งและการดูแลอย่างดีเสมอมา จนถึงรุ่นขงหยง

เมื่อขงหยงเป็นปราชญ์ รับราชการอยู่ในราชวงศ์ฮั่น พอผู้นำอย่างโจโฉเข้าช่วยเหลือฮ่องเต้ฮั่นที่ตกอับ ขงหยงจึงเป็นข้าราชการในสังกัดของโจโฉโดยปริยาย

ในบทบาททายาทของขงจื่อ ขงหยงก็วางตัวได้สมตระกูล ขงหยงมีวีรกรรมไม่น้อยที่กล้าติติงคัดค้าน กล้าขัดใจโจโฉ

ครั้งโจโฉช่วยฮ่องเต้ได้เป็นปีที่สองบ้านเมืองยังวุ่นวาย อ้วนสุดตั้งตัวเป็นฮ่องเต้อยู่แดนใต้ แต่เรื่องที่จะพูดถึงไม่เกี่ยวกับอ้วนสุด กลับเกี่ยวกับศัตรูส่วนตัวคนหนึ่งที่โจโฉไม่ถูกหน้ากันมานานชื่อหยางเปียว เนื่องจากลูกหยางเปียวเกี่ยวดองกับลูกอ้วนสุด โจโฉเลยถือโอกาสนี้ตั้งข้อหาว่าเขาเกี่ยวพันทางเครือญาติกับอ้วนสุดเพื่อสังหารหยางเปียว

ขงหยงรู้เข้าจึงคัดค้านซึ่งหน้า โจโฉทำทีไม่สนใจบอกแต่ว่าคำสั่งนี้คงเป็นไอเดียของฮ่องเต้ ขงหยง รู้ว่าโจโฉทำเฉไฉ จึงตำหนิกระทบกระเทียบตามสไตล์ปราชญ์แล้วลงท้ายว่า

"ที่ผู้คนมาร่วมงานกับท่านมากมายก็เพราะคาดหวังว่าท่านจะมีความเป็นธรรมยึดมั่นในกฎหมาย ท่านทำเรื่องเช่นนี้ได้ใจคนจะเป็นปฏิปักษ์ อนาคตจะมีใครมาเข้ามาร่วมงานด้วยเล่า คนอื่นจะก่อหวอดไม่พอใจตอนไหนข้าไม่รู้ แต่ก่อนอื่นใด ลูกผู้ชายแคว้นหลู่อย่างข้า นี่แหละขอประกาศสไตรค์งานในวันพรุ่งนี้!!!"

โจโฉรู้ตัวว่าพลาดไป จึงปล่อยวางความเหม็นหน้าและโอกาสแก้แค้นส่วนตัวลง

และเมื่อโจโฉทำศึกชนะอ้วนสุด โจผีริบเอาภรรยาแสนสวยของลูกอ้วนสุดมาเป็นภรรยาของตน ขงหยงลงมือเขียนจดหมายถึงโจโฉ ประชดประชันต่อว่าเหน็บแนมตามสไตล์ โจโฉก็อดกลั้นได้เสมอๆ

แต่ที่โจโฉจำขึ้นใจและยอมไม่ได้คือในศึกกวนตู้-ศึกชี้ชะตาเป็นตายระหว่างอ้วนเสี้ยวและโจโฉ ขงหยง ดันเที่ยวประกาศไปทั่วว่าโจโฉแพ้แน่ นักการทหารในภาวะสงครามย่อมรับเรื่องนี้ไม่ได้ เป็นที่เข้าใจกันดี

หลังจากสงครามนั้นขงหยงยังไม่หยุด เสนอให้ออกกฎหมายห้ามขุนนางตำแหน่งพระยาอยู่ในอาณาบริเวณพันลี้จากพระราชวัง ซึ่งในตอนนั้นโจโฉมียศเป็นพระยา เท่ากับว่าประกาศชัดเจนว่า "โจโฉออกไป!"

โจโฉซึ่งถือคติ "เรื่องทำให้หน้าแตกเล็กน้อย ข้าไม่ว่า ขอแค่อย่าขวางวิถีทางการเมืองข้าเป็นพอ" จึงทนไม่ได้อีกต่อไป

โจโฉตัดสินใจกำจัดขงหยงด้วยวิธีสกปรกที่สุด โจโฉสั่งจับขงหยง อ้างว่ามีหน่วยงานลับพบจดหมายซ่อนไว้ภายในบ้าน มีเนื้อหาแฝงนัยคล้ายกบฏ โดยจดหมายนั้นพร่ำเพ้อว่า "ครองใต้หล้า ไยต้องมาจากสกุลเล่า" (ฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นแซ่เล่า) โจโฉไม่ได้สั่ง ประหารขงหยงด้วยโทษกบฏ แต่กลับเป็นโทษอื่น...

หลังขงหยงถูกจับก็ถูกยัดหลักฐานเพิ่มเติม กลียุคแบบนั้นขงหยงย่อมไม่มีทนายส่วนตัวมาแก้ต่าง ข้อหาก็เป็นเพียงเพราะ "เขาเล่าว่า" ต่อกันมา แต่นักการเมืองอย่างโจโฉย่อมรู้ดีว่าข้อหานี้จะทำลายความชอบธรรมของขงหยงได้ดีที่สุด เพราะขงหยงคือลูกหลานขงจื่อ ปราชญ์ที่ยกย่องความกตัญญูเป็นคุณธรรมสูงสุด

มองในบริบทตอนนั้นของโจโฉ ความโหดเหี้ยมครั้งนี้สะกดให้ปราชญ์ผู้ดีทั้งหลายหยุดนินทาลับหลัง ทำให้ โจโฉเดินหน้าในวิถีทางการเมืองในกลียุคได้อย่างราบรื่นขึ้น

ในเรื่องคุณธรรมความดีความเลวโจโฉย่อมเลวแน่ แต่ก็ต้องยอมรับว่ายุคที่โจโฉอยู่เป็นกลียุค โจโฉทำเพราะผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคพวก โจโฉจึงสามารถอ้างความจำเป็นต้องเด็ดขาดแบบทหาร แล้วจัดการขงหยงให้หมดความชอบธรรมทางการเมืองแบบหมดอนาคต โจโฉเล่นกับมุมมืดของนักการทหารและนักการเมืองควบคู่กันได้อย่างน่าสะพรึง

นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อารยธรรมสมัยใหม่หลีกเลี่ยงไม่ให้อำนาจแบบทหารและอำนาจแบบนักการเมืองอยู่ในร่างคนคนเดียวกัน เพราะความน่าสะพรึงเช่นนี้เกิดขึ้นได้เสมอ ขนาดโจโฉที่พร้อมหัวเราะเฮฮากับคำวิพากษ์วิจารณ์ติเตียนที่ทำให้เสียหน้าได้ ยังทนไม่ไหวที่จะก้าวสู่ด้านมืดของสองอำนาจคู่ขนานอย่างสุดโต่ง

ไม่ว่ากรณีใด การเล่นกับทีท่าสลับไปมาระหว่างทหารกับนักการเมืองในสังคมที่อยากจะเป็นอารยะจึงไม่ใช่ความคูล แต่กลับกลายเป็นสัญญาณเตือนให้กับสังคมว่าต้องเฝ้าระวัง n

ข่าวล่าสุด

BOJ ยังไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย! SET แกว่งตัว เน้นย่อสะสมหุ้นกำไรเด่น