posttoday

พุทธราชาแห่งเวียดนาม

07 มกราคม 2561

ท่านอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ปราชญ์ยุคกึ่งพุทธกาล เคยแปลหนังสือภาษาเวียดนามไว้หนึ่งเล่ม เรื่อง "บรรพชาอุปสมบทวิธีฝ่ายอนัมนิกาย"

โดย กรกิจ ดิษฐาน

ท่านอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ปราชญ์ยุคกึ่งพุทธกาล เคยแปลหนังสือภาษาเวียดนามไว้หนึ่งเล่ม เรื่อง "บรรพชาอุปสมบทวิธีฝ่ายอนัมนิกาย" แปลเมื่อปี 2502 จากหนังสือภาษาเวียดนามตัวจีนที่เรียบเรียงโดยองสรภาณมธุรส หรือ หลวงพ่อบ๋าวเอิง พิมพ์เนื่องในงานปลงสังขารพระครูคณานัมสมณาจารย์ (โผซ้าย) เจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย

หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยการบรรพชาอุปสมบทวิธีฝ่ายอนัมนิกาย แต่ก็มีเกริ่นนำเรื่องประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในเวียดนามไว้อย่างสังเขปแต่ครอบคลุม สมกับที่ผู้เรียบเรียงและแปลเป็นยอดคนแห่งพุทธจักรคู่หนึ่งในยุคนั้น

เมื่อพูดถึงพุทธศาสนาในเวียดนามคนไทยเราแทบไม่รู้อะไรเลย ทั้งๆ ที่เรามีคณะหลวงญวนเรียกว่าอนัมนิกายมาตั้งแต่ต้นกรุง หนังสือเรื่อง "บรรพชาอุปสมบทวิธีฝ่ายอนัมนิกาย" ก็กำเนิดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจแก่คนไทยโดยเฉพาะ แต่เสียดายพิมพ์มานานต้นฉบับหายากมาก

เวียดนามนั้นมีประวัติศาสตร์พุทธศาสนายาวนาน คณาจารย์ท่านสำคัญมีทั้งชาวท้องถิ่น ชาวชมพูทวีป และชาวจีน เคยมีสมณทูตไปประกาศศาสนาในราชสำนักของซุนกวน แม้พระโพธิธรรม หรือ ตั๊กม๊อ บูรพาจารย์นิกายเซน ก็มาประกาศศาสนาที่เวียดนามด้วย จะเห็นได้ว่าประเทศนี้มีการสืบทอดศาสนาไม่ขาดสาย กระทั่งวันนี้ก็ยังมีหลวงพ่อทิก เญิ้ต หั่ญ (ติชนัตฮัน) เป็นมิ่งขวัญของพุทธศาสนิกทั่วโลก

ประมุขพุทธจักรเวียดนาม มีท่านหนึ่งประวัติโดดเด่นน่าสนใจ เดิมทรงเป็นมหาราชแห่งราชวงศ์เจิ่น ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 พระนามว่าพระเจ้าเจิ่นเญินตง ทรงปราบพวกมองโกล รักษาแผ่นดินไว้ได้ ประเทศเจิ่นเป็นปึกแผ่น สันติยาวนาน ทุกวันนี้ชาวเวียดนามยังยกย่องไม่เสื่อมคลาย

แต่ในเวลาต่อมา ทรงเบื่อหน่ายทางโลก จึงสละราชสมบัติออกผนวชเป็นหลวงญวน ปฏิบัติภาวนา ณ ภูเอียนตื่อ จนสำเร็จภูมิธรรม ทั้งยังทรงสร้างเอกภาพทางศาสนา ส่งเสริมนิกายเซน สถาปนานิกายใหม่เรียกว่านิกายจุ๊กเลิม (จีนเรียกนิกายจู๋หลิน หรือ เวฬุวันนิกาย) เพื่อชำระศาสนาที่มัวหมองให้ผุดผ่อง ทรงจาริกธุดงค์ไปทั่วแผ่นดิน เพื่อกำราบพระสงฆ์นอกรีต ปิดอารามนอกรอย ในยุคนี้เถระมากมายล้วนแต่เป็นศิษย์ของพระองค์ ผู้คนขานพระนามว่าเป็น "เฝิดหว่าง" หรือ พุทธราชา ดูจากสภาพการณ์แล้วไม่ต่างจาก "วชิรญาณภิกขุ" ผู้สถาปนาธรรมยุตินิกายนัก

มีตำนานมากมายเกี่ยวกับ เฝิดหว่าง ซึ่งหากมีโอกาสผมจะนำเสนอต่อไป นอกจากนี้ พระองค์เองยังทรงรจนาปกรณ์ข้อธรรมไว้มากมาย ส่วนหนึ่งแปลโดยอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ความว่า

"สิ่งใดๆ ในโลกนี้ที่มนุษย์หมายเอาว่าประเสริฐเที่ยงแท้นั้น เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาแล้วก็ปราศจากแก่นสาร บ่ จีรังยั่งยืนสักสิ่งเลย อันว่าสมบัติของมนุษย์นี้ฤๅจักเสมอได้ด้วยสมบัติทิพย์ และสมบัติทิพย์นั้นเล่าจักเปรียบเสมอด้วยพระนิพพานได้ไฉน ผู้ใดสมภพมาเป็นโอรสของพระมหากษัตริย์ จักประเสริฐยิ่งไปกว่าบุตรแห่งพระตถาคตเจ้ามิได้เลย...ปรากฏว่าพระโอรสของพระองค์ที่เสวยราชสืบมา คือ พระเจ้าเตริ้นอันตงว่างเด๊ได้ทอดพระเนตรเห็นแล้วก็มีพระหฤทัยสลดสังเวชในโลกียสุข ได้เสด็จออกผนวชในกาลต่อมา"

ส่วนผมลองแปลช่วงชีวิตตอนท้ายของพุทธราชา ดังนี้ว่า

"ครั้นถึงวันที่ 1 เดือน 11 ปี พ.ศ. 1837 ดาวประกายพรึกกลับส่องแสงจ้ากลางดึก องค์เฝิดหว่างตรัสถามว่า "นี่เวลาใดแล้ว" ศิษย์ตอบว่าเป็นยามสอง องค์เฝิดหว่างจึงลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง แลมองเบื้องนอก แล้วตรัสว่า "ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว" ศิษย์ถามว่าพระองค์จะจรไปหนใด จึงตรัสว่า

สรรพธรรมไร้เกิด สรรพธรรมไร้ดับ

หากเห็นได้ดังนี้ พุทธองค์ปรากฏเสมอ

ป่วยการถามไปหนใด

ศิษย์ได้สดับจึงถามอีกว่า "แล้วนิโรธกับ อกิริยาเล่าพระเจ้าข้า?" องค์เฝิดหว่างทรงยกพระหัตถ์ขึ้นป้องพระโอษฐ์ขึ้นทันใด ตรัสว่า "อย่าพูดเพ้อเจ้อไป" จากนั้นพระองค์ทรงทอดพระวรกายในท่าสีหไสยาสน์ แล้วละสังขารในกาลนั้น"

ในกาลต่อมาอนุชนรุ่นหลังได้บันทึกเรื่องราวของพุทธราชาเอาไว้ หนึ่งในนั้นคือ ภาพ "ประมุขนิกายจุ๊เลิมลงเขา" วาดโดยจิตรกรเวียดนามสมัยราชวงศ์เจิ่น ต่อมาตกไปอยู่ในแผ่นดินจีนสมัย ราชวงศ์หมิง เป็นสมบัติในวังกู้กง แต่ในหลังสิ้นราชวงศ์ชิง ผู่อี๋ ฮ่องเต้องค์สุดท้ายได้ลักลอบนำติดตัวออกมา หลังสิ้นสงครามรัฐบาลได้ริบคืนและจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์เหลียวหนิง

ในภาพแสดงการจาริกขององค์พุทธราชาเจิ่นเหญินตงและสานุศิษย์ และยังมีพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าเจิ่นอันตง พระโอรสที่ครองราชต่อมาด้วย เป็นภาพอันล้ำค่าทั้งในด้านศิลปะเวียดนาม และประวัติศาสตร์พุทธศาสนา n

ข่าวล่าสุด

ล้ำไปอีกขั้น เสื้อกั๊ก AI ช่วยผู้ป่วยหลอดเลือดสมองขยับแขน