4 เทรนด์การทำการตลาดอสังหา

ธนาคารเกียรตินาคิน

จากการเข้าสู่ยุค Digital Marketing ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการตลาดแบบเดิมๆ ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ทำการตลาดแบบ Offline ทำป้ายบิลบอร์ด ติดป้ายใหญ่รอลูกค้าขับรถผ่านมาเจอ จ้างรถแห่ปิดป้ายข้างรถเปิดลำโพงดังๆ หวังให้คนที่ได้ยินแล้วสนใจออกจากบ้านมาดู การทำการตลาดแบบเดิมๆ เริ่มไม่ได้ผลเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็ว ฉะนั้นเทรนด์พฤติกรรมของลูกค้าอสังหาฯ เพื่อปรับตัวและทำการตลาดให้ตรงจุด โดยเทรนด์การทำการตลาดในปี 2561 ที่ต้องรู้ ประกอบไปด้วย

1.การโฆษณาแบบตรงไปตรงมาจริงใจ

การทำการตลาดแบบเดิมๆ การใช้ดารามารีวิวโครงการว่าเป็นโครงการที่ดีมาก คุ้มค่ากับการอยู่อาศัย เหมาะกับ รูปแบบชีวิตที่เขาต้องการ และดาราคนนั้นซื้อบ้านอยู่ที่โครงการนั้นไหม "ก็เปล่า" ผู้บริโภคมีความฉลาดในการเสพสื่อมากขึ้น มีความเข้าใจ และการนำเสนอแบบเกินจริงเริ่มไม่ได้ผล แต่แนวโน้มการโฆษณาแบบตรงไปตรงมาหรืออธิบายแบบจริงใจพูดกันแบบตรงๆ ภาษาชาวบ้านที่เข้าใจได้ง่าย อะไรดีอะไรไม่ดี เป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคยอมรับกันมากขึ้น และเป็นการสร้างแบรนด์ที่ดีอีกด้วย

2.สร้างความผูกพันกับแบรนด์ให้แน่นแฟ้น

การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าบน Social หรือ Engagement ผ่านช่องทางออนไลน์เป็นความผูกพันแบบฉาบฉวยหรือการทำคลิปวิดีโอดีๆ ให้คน Like and Share ทำให้มีผู้ติดตามหลักแสนอาจได้ผลดีกับสินค้าบางประเภท แต่สินค้าที่มีราคาสูงอย่างบ้านหรือคอนโด คนติดตามจำนวนมากอาจไม่ได้เป็นผู้ซื้อเพราะไม่ได้มีความผูกพันกับแบรนด์

ดังนั้น เทรนด์ในปี 2561 นี้ การทำปฏิสัมพันธ์โดยทำการตลาดกับกลุ่มเล็ก โดยดึงคนจาก Social มาให้เกิดกิจกรรมที่โครงการ ให้เขาเขียน Content ถามความรู้สึกว่าทำไมอยากมีบ้าน หรือให้เขาทำคลิปวิดีโอให้ บอกเล่าถึงประสบการณ์หรือความประทับใจที่เกิดขึ้นกับเขา จะเป็นการยกระดับความผูกพันกับแบรนด์ได้เป็นอย่างดีและเป็นสื่อการตลาดที่จะนำให้ลูกค้ารายอื่นที่พบเห็นเกิดความสนใจแบรนด์เราเพิ่มขึ้นได้

3.บริษัทใหญ่หันมาลงทุนกับ Digital System หรือ Platform ที่อำนวยความสะดวกกับการอยู่อาศัย

เทรนด์นี้เกิดขึ้นอย่างมากกับบริษัทอสังหาฯ ใหญ่ๆ หลายบริษัท เพื่อเป็นการสร้างรูปแบบของสินค้าให้มีความแตกต่างจากคู่แข่ง โดยเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ของการอยู่อาศัยให้กับผู้บริโภค ตัวอย่างแสนสิริได้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในหลายด้านพัฒนาแพลตฟอร์มนี้ของตัวเองขึ้นมา ในชื่อ "Sansiri AI Box" ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยได้เป็นครั้งแรก

ทั้งนี้ ทำให้เกิดความสะดวกในการเช็กข่าวสาร ตรวจสอบสภาพอากาศ สภาพการจราจร ฟังเพลง และสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของเรา หรือการนำ "แสนดี" หุ่นยนต์อัจฉริยะมาใช้ในโครงการคอนโดแห่งแรกในเอเชียโดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยบริการส่งจดหมาย พัสดุ และอื่นๆ ให้กับลูกบ้านภายในโครงการ หรือการนำคอนเซ็ปต์ Car Sharing โดยเป็นการนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง BMW i3 มาให้บริการแก่ลูกบ้าน ทุกอย่างล้วนเป็นการสร้างมูลค่าให้โครงการและเครื่องมือในการทำการตลาดได้เป็นอย่างดี

4.เทรนด์สังคมผู้สูงอายุจะเข้ามีส่วนร่วมในการทำการตลาด

ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้สูงอายุในปัจจุบันจะชอบสังคมโซเชียลมาก และมีผู้หญิงสูงอายุมากขึ้นกว่าผู้ชาย ดังนั้นหากจะพัฒนาบ้านที่เหมาะกับผู้สูงอายุ ให้นึกถึงผู้หญิงมากขึ้น และพบว่า ผู้สูงอายุกว่า 90% มักชอบอาศัยอยู่ที่บ้าน ดังนั้นการพัฒนาบ้านของผู้ประกอบการจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเทรนด์นี้มากกว่าอุปกรณ์ช่วยจับ พื้นห้องน้ำที่มีระดับพื้นเดียวกับตัวบ้าน ที่โครงการไหนๆ ก็มี

เทรนด์การสร้างสังคมหรือสร้างความสุขในการอยู่อาศัยพร้อมกับการดูแลเรื่องสุขภาพก็เป็นสิ่งสำคัญถ้าทำได้การทำการตลาดกับคนกลุ่มนี้จะเป็นการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง สังคมไทยยังคงให้ความสำคัญกับ ผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก ตอนตัดสินใจซื้อบ้านบุตรหลานจะคำนึงถึงความสะดวกของผู้สูงอายุเป็นหลัก การทำการตลาดกับเทรนด์นี้สามารถทำได้ง่าย ชัดเจน และเป็นการสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์โครงการด้วย

การทำการตลาดแต่ละครั้งใช้เงินมหาศาล ดังนั้นกิจกรรมที่เกิดขึ้นต้องมีประสิทธิภาพ และต้องดำเนินการร่วมกันตั้งแต่เรื่องรูปแบบโครงการ แบบบ้าน พื้นที่ส่วนกลาง การบริการลูกบ้าน ล้วนเป็นองค์ประกอบที่เราสามารถนำมาเป็นตัวช่วยตอนทำการตลาดได้ ตลอดไปจนถึงการสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่งก็จะมีความชัดเจนด้วย