วันเฮง ไก่ย่างห้าดาวยิม แชมป์โลกผู้สมถะ

กษม จักรเครือ

เวลานี้ แชมป์มวยโลกในเมืองไทยมี3 คน รายแรกโด่งดังเพียงข้ามคืนเพราะไปกระชากเข็มขัดแชมป์โลกถึงอเมริกา "เจ้าแหลม" ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น แชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต ของสภามวยโลก (WBC) ส่วนอีกสองรายดีกรีก็ไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าอาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก คือ "เจ้าน้อย" วันเฮง ไก่ย่างห้าดาวยิม แชมป์โลกรุ่นมินิมัมเวต (WBC) และคนสุดท้าย น็อคเอาท์ ซีพีเฟรชมาร์ท แชมป์โลกรุ่นเดียวกับวันเฮง แต่อยู่คนละสถาบัน โดยน็อคเอาท์เป็นแชมป์ของสมาคมมวยโลก (WBA)

ล่าสุด วันเฮง เจ้าของสถิติชนะรวด 49 ไฟต์ กำลังจะสร้างสถิติใหม่ ยืดสถิติไร้พ่าย เท่ากับ ฟลอยด์ เมย์เวเธอร์ จูเนียร์ กำปั้นชาวสหรัฐ ที่ทำเอาไว้ ชนะ 50 ไฟต์รวด โดยนักชกจากมหาสารคามมีคิวป้องกันแชมป์ไฟต์บังคับกับ ลีรอย เอสตราด้า รองแชมป์เบอร์หนึ่งชาวปานามา ช่วงต้นปีหน้า ส่วนเวลาและสถานที่ยังไม่กำหนดแน่ชัด

"เวลานี้ผมอยากไปชกเมืองนอกมากที่สุด จริงๆ แล้วผมอยากชกเดิมพันแชมป์โลกกับแชมป์โลกชาวญี่ปุ่นอีก 2 คน จาก 2 สถาบันมากกว่า ทำลายสถิติของฟลอยด์ อย่าเอาผมไปเทียบกับเขาเลย ขอไปเอาเข็มขัดมาคาดเอวเพิ่มดีกว่า อยากได้อีก 2 เส้น ส่วนไฟต์หน้าไฟต์บังคับ ผมไม่กลัว รองอันดับ 1 ลีรอย เอสตราด้า ผมอยากไปชกถึงปานามาด้วย เคยได้ยินแต่เพลง อยากไปชกดูสักครั้งน่าจะสนุก'' แชมป์โลกรุ่น 105 ปอนด์ กล่าว

ที่ผ่านมาวันเฮงป้องกันเข็มขัดแชมป์โลกที่เมืองไทยทั้งหมด 8 ครั้ง ยังไม่เคยไปต่อยต่างประเทศ ทำให้หลายคนกังขาในฝีไม้ลายมือ

"ทุกวันนี้ผมไม่อยากเข้าไปอ่านในกระทู้หรือคอมเมนต์ต่างๆ ในโลกโซเชียล แต่ผมก็ปลงนะ คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจะหาว่าผมเก่งแต่ในบ้าน ตอนนี้ผมมั่นใจว่าสภาพร่างกายและจิตใจ ผมสามารถชกได้ทุกที่ทั่วโลก ขึ้นอยู่กับข้อเสนอ ผมก็อยากจะพิสูจน์ตัวเองเหมือนกัน ในจุดนี้ ไม่กลัวที่จะชก แต่กลัวไม่มีคู่ชกมากกว่า"

สำหรับเรื่องการฟิตซ้อม นักชกวัย 33 ปี เผยว่าสำหรับค่าย "มีนะโยธิน" ที่ตัวเองสังกัด จะไม่มีการลงนวม 100 ยก หรือ 200 ยก ก่อนถึงวันชกจริง เหมือนค่ายอื่น

"ผมต้องฟิตซ้อมทั้งเช้าและเย็น ไม่เคยนับยกว่าลงนวมกี่ยก แต่ชกทุกวัน ต่อยทุกวัน จนร่างกายมันชินไปเอง เรียกว่าพร้อมทุกเวลา ภารกิจทุกเช้า ผมต้องตื่นตอนตี 5 วิ่ง ไม่ต่ำกว่า 10 กิโล แถมมีสปีดอีกต่างหาก ช่วงเย็นก็จะมาเล่นเวต เทรนนิ่ง ชกลม ลงนวม ทำอย่างนี้ทุกวันไม่มีวันหยุด ทำมาเกือบ 20 ปีแล้ว"

วันเฮงเริ่มเข้าวงการมวยเหมือนเด็กบ้านนอกทั่วไป เริ่มชกมวยไทยตั้งแต่อายุ 13 ปี โดยกวาดแชมป์มานับไม่ถ้วน ทั้งแชมป์เวทีมวยลุมพินี และมวยไทยมาราธอน วีโก้ สมาร์ท สนามที่ 3 ก่อนจะเบนเข็มมาต่อยมวยสากลอาชีพ เนื่องจากมวยไทยหาคู่ชกยากในพิกัด 105 ปอนด์ ซึ่งพอหันมาชกสากลอาชีพก็ทำได้ดี

"สิ่งแรกที่นักกีฬาต้องมี คือวินัย ผมว่าสำคัญ ต่อจากนั้นเป็นเรื่องของการฝึกซ้อม และต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เวลาว่างผมจะให้โค้ชเอาคลิปของนักมวยดังๆ มาดู ไม่ว่าจะเป็น วีระพล นครหลวงโปรโมชั่น อดีตแชมป์โลกขวัญใจชาวไทย หรือ ฟลอยด์ เมย์เวเธอร์ ซึ่งแต่ละคนผมก็จะเอาจุดเด่นของเขามาใช้ โดยส่วนตัวผมไม่ชอบต่อยกับนักมวยที่มีหมัดหนัก ต่อยยาก หากผมโดนก็มีอาการเหมือนกัน ในชีวิตเคยโดนนับ 8 ถึง 2 ครั้ง ในการต่อยมวยไทย แต่สากลอาชีพผมยังไม่เคย แต่ก็ไม่อยากโดน"

สำหรับหลักในการดำเนินชีวิต เจ้าของแชมป์โลกรุ่น 105 ปอนด์ เผยว่า เดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ให้ใช้ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง"

"เป็นสิ่งที่ผมยึดเหนี่ยวมาโดยตลอด ทั้งเรื่องส่วนตัวและการชกมวย โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงิน น้ำพักน้ำแรง ที่ได้มาจากการต่อยมวยที่ผ่านมา ทำให้ผมซื้อบ้าน ซื้อรถให้พ่อและแม่ ผมว่าก็โอเคแล้ว สำหรับเด็กต่างจังหวัดอย่างผม มาไกลขนาดนี้ ผมเป็นคนไม่ชอบขับรถ ชอบขี่จักรยานมากกว่า ทำให้ไม่ซื้อรถยนต์ขับ ผมอยู่ง่าย กินง่าย อะไรก็ได้ ไม่เรื่องมาก เสื้อผ้าก็ไม่ซื้อ วันๆ แทบไม่ใช้เงิน เพราะเช้าถึงเย็นอยู่แต่ในค่าย"

ขณะที่เป้าหมายของชีวิตวันเฮงเผยว่า หากไม่ชกมวยก็ยังไม่ได้วางแผนว่าจะไปประกอบอาชีพอะไร เพราะทั้งชีวิต ทุกลมหายใจมีแต่มวย แต่มีคนทาบทามให้ไปต่อยมวยสากลสมัครเล่นในกีฬาโอลิมปิกเกมส์

"สำหรับโอลิมปิกเกมส์ มีคนมาทาบทามให้ไปชกเหมือนกัน เพราะล่าสุดไอบาอนุญาตให้นักมวยสากลอาชีพสามารถแข่งขันได้ ผมก็คิดว่าน่าสนใจ ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ ถ้าเห็นว่าผมทำได้ ผมก็ไม่ปฏิเสธโอกาส"

ทุกวันนี้คิดแต่เพียงว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วทุกอย่างก็จะตามมา โดยเฉพาะการรักษาเข็มขัดแชมป์โลก

"การได้แชมป์นั้นยาก แต่การรักษาแชมป์ยากยิ่งกว่า"