รุ่งโรจน์ ดุลลาพันธุ์ ผู้เปลี่ยนเสียงเพลงเป็นการให้
เทศกาลแห่งความสุขใกล้เข้ามา หลายคนเฝ้านับวันรอให้ถึงวันหยุด หรือทริปส่งท้ายปี ต้อนรับปีใหม่ แต่สำหรับ "ครูโรจน์" รุ่งโรจน์ ดุลลาพันธุ์ ผู้หลงใหลในเสียงเพลง
โดย พุสดี สิริวัชระเมตตา
เทศกาลแห่งความสุขใกล้เข้ามา หลายคนเฝ้านับวันรอให้ถึงวันหยุด หรือทริปส่งท้ายปี ต้อนรับปีใหม่ แต่สำหรับ "ครูโรจน์" รุ่งโรจน์ ดุลลาพันธุ์ ผู้หลงใหลในเสียงเพลง
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เขากลับเลือกใช้ช่วงเวลานี้ ผนึกกำลังกับเพื่อนพ้องในวงการเพลง และลูกศิษย์ที่หลงรักในเสียงเพลงเหมือนกัน ใช้เสียงเพลงส่งต่อความสุขไม่รู้จบ ผ่านคอนเสิร์ตการกุศล ที่คุ้นหูกันในนาม "Sing for Help"
"โปรเจกต์นี้เราเริ่มต้นมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว เริ่มต้นด้วยคอนเซ็ปต์ง่ายๆ คือ "ร้องด้วยใจให้ด้วยเพลง" อาศัยว่าเราชอบร้องเพลงอยู่แล้ว พอมาทำอาชีพเป็นครูสอนร้องเพลง เวลาช่วงปลายปีก็พยายามมองหากิจกรรมดีๆ เพื่อสังคม ที่นอกจากจะเปิดโอกาสให้เด็กๆ ที่มาเรียนได้มีโอกาสใช้ศักยภาพด้านการ ร้องเพลงที่มี ยังได้ใช้สิ่งที่รักสร้างประโยชน์ส่งต่อความสุขให้คนอื่นๆ ด้วย"
ช่วงแรกๆ ที่ทำโปรเจกต์ รุ่งโรจน์ บอกว่าไม่ได้ใหญ่โตแบบนี้ เริ่มต้นจากคนเพียงสิบกว่าคน เติบโตมาเรื่อยๆ เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดี และศิลปินในวงการที่เคยเป็นลูกศิษย์ก็มาร่วมร้องด้วยใจ ไม่คิดค่าตัว เขาย้อนความหลังอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะฉายภาพให้เห็นชัดเจนขึ้น
"สมัยที่ร้องปีแรกๆ เราไปร้องกันตรงบันไดหน้าห้างอัมรินทร์ พลาซ่า บางครั้งก็เดินไปตามบริษัท รอตอนพักกลางวัน ดูว่าที่ไหนก็ให้เราไปร้องเพลงเพื่อขอรับบริจาคสำหรับนำเงินไปช่วยการกุศล
10 ปีที่ผ่านมา เราหาเงินบริจาคได้ถึง 4-5 ล้านบาท ทั้งที่ช่วงแรกๆ ไม่มีการโปรโมท อาศัยการบอกต่อปากต่อปาก จนลูกศิษย์ครูโรจน์จะรู้เลยว่านี่เป็นธรรมเนียมของโรงเรียนเรา พอใกล้ๆ สิ้นปี ทุกคนจะมาถามแล้วว่าปีนี้จะจัดไหม จัดแบบไหน จากวันแรกเราไม่เคยคิดเลยว่า จะเติบโตมาจนเป็นโมเดลที่ยิ่งใหญ่แบบทุกวันนี้"
อย่างไรก็ตาม กว่าจะออกมาเป็นโปรเจกต์ การกุศลที่สร้างสุขให้กับทั้งผู้ให้และผู้รับ โดยมีเสียงเพลงเป็นตัวกลางแบบนี้ ไม่ง่ายเลย นอกจากแรงกายแรงใจของคนทำงานที่ต้องทุ่มเท ยังต้องอาศัยแรงใจมหาศาล
"ผมเป็นครู มีความตั้งใจที่จะส่งมอบความคิด ปลุกจิตสำนึกเรื่องการให้ ไม่ว่าจะในบทบาทครูหรือนักเรียนเรา เราต้องตระหนักว่าการให้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ พวกเราที่มาร่วมกันตรงนี้ อาจจะไม่ได้มีเงินทองมากมาย แต่เรามีแค่เสียงร้องและเสียงเพลง ที่สามารถเอาไปแลกเป็นเงินแล้วเอามาช่วยเหลือคนที่ยังขาด"
แน่นอนว่า ในโอกาสที่โปรเจกต์ดีๆ แบบนี้เดินทางมาถึงปีที่ 10 ทั้งที่ จะธรรมดาไม่ได้ ครั้งนี้เลยต้องจัดเต็ม รวมรวบเหล่าบรรดาศิลปินชื่อดังของเมืองไทย ทีมครู The Professional by Kru Rodj และนักเรียนรวมกว่า 100 ชีวิต มาร่วมส่งต่อความสุขครั้งยิ่งใหญ่ ในงาน "10 Year Sing for Help, Sing for the Memory" ซึ่งเป็นการระดมเงินบริจาคในรูปแบบคอนเสิร์ตกลางแจ้งครั้งสุดท้าย โดยรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายจะถูกส่งมอบเพื่อสนับสนุนการสร้างอาคารโรงพยาบาลจักษุบ้านแพ้ว เพื่อรักษาดวงตา
"จากนี้ไป รูปแบบของ "Sing for Help" อาจจะเปลี่ยนไป อาจจะลดสเกลลง เพราะต้องยอมรับว่าสเกลที่ใหญ่ขึ้นก็มาพร้อมค่าใช้จ่ายที่ตามมามากมาย เช่น ค่าห้องซ้อมสำหรับน้องๆ ที่จะแสดง ค่าอาหาร และอีกมากมาย ในปีหน้าครูก็ให้โจทย์คุณครูท่านอื่นๆ ลองคิดดูว่า จะทำออกมาในรูปแบบไหนที่ยังคงหัวใจของการให้อยู่ แต่เปลี่ยนรูปแบบใหม่"
ขณะที่รุ่งโรจน์เอง นอกจากการร้องเพลงที่รัก คงหันมาทุ่มเทให้กับอีกหนึ่งงานอดิเรกที่สนใจมานาน แต่หลายคนอาจไม่รู้ คือ การวิ่ง ซึ่งเขายอมรับว่าได้แรงบันดาลใจจาก ตูน บอดี้สแลม ซึ่งเป็นลูกศิษย์เช่นกัน
"ครั้งหนึ่งในงานวันเกิดครูเขาซื้อการ์มิน (Garmin) นาฬิกาสำหรับคนออกกำลังกายให้เป็นของขวัญ แล้วชวนให้ครูลองออกมาวิ่ง หลังจากได้ลองวิ่งและฝึกตามที่ตูนบอก ครูก็วิ่งมาเรื่อยๆ ทุกวันนี้วิ่งอย่างน้อย 30-40 กิโลเมตร/สัปดาห์"
ในฐานะประธานชมรมวิ่งสวนพฤกษ์ 99 รุ่งโรจน์ประกาศกร้าวว่าปีหน้าจะไปวิ่งอัลตรามาราธอน และกำลังคิดโปรเจกต์เพื่อสังคมโดยใช้การวิ่งเป็นสื่อกลาง
"ตูนเป็นแรงบันดาลใจที่ดีมากของครูตอนนี้ ทุกวันนี้ติดตามข่าวของเขาทีไรก็น้ำตาซึม ตอนนี้ครูตั้งเป้าหมายกับตัวเองว่า ทุกครั้งที่วิ่ง 1 กิโลเมตร เท่ากับเงิน 100 บาท หมายความว่า ถ้าวันนี้วิ่งได้ 4 กิโลเมตร เท่ากับ 400 บาท ครูก็จะเอาเงินนี้ไปบริจาคให้ 'Sing for Help' เพื่อนำไปทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อ
ส่วนช่วงนี้ ที่กระแสตูนฟีเวอร์ วันไหนตูน พักร่าง ครูจะวิ่งแทน โดยตั้งเกณฑ์กับตัวเองว่า กิโลเมตรละ 1,000 บาท แต่ถ้าวิ่งได้ครบ 10 กิโลเมตร จะลดเหลือกิโลเมตรละ 500 บาท เท่ากับว่าถ้าวิ่งได้ครบ 10 กิโลเมตร ครูจะต้องปันเงินออกมา 5,000 บาท หลังจากเริ่มทำมาสักพัก ตอนนี้ครูมีเงินสะสมที่จะบริจาคให้ตูนแล้ว หมื่นกว่าบาท (หัวเราะ)"
รุ่งโรจน์ยังกล่าวทิ้งท้ายอย่างประทับใจ ถึงเหตุผลที่เลือกใช้การให้เป็นเข็มทิศชีวิตว่า
"ครูมีทุกวันนี้ได้ เพราะมีคนให้โอกาส เมื่อวันนี้เราอยู่ในจุดที่พอมีพออยู่พอกิน ก็น่าจะเสียสละบางอย่าง นอกจากความรู้ที่เราถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ เราน่าจะสละเงินทองที่พอมี มาให้คนที่ต้องการ คนที่ด้อยโอกาส มันเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ครูคิดเสมอว่าถ้าเกิดพรุ่งนี้เราตาย เงินที่เราเก็บไว้สลึงเดียวก็เอาติดตัวไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นตราบที่วันนี้ยังมีแรง ยังสามารถแบ่งปันให้คนอื่น เราจะทำ"


