เจตนาซ่อนเร้นในการทำธุรกิจ
เดชา กิตติวิทยานันท์การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันมีความสลับซับซ้อนมาก เจตนาของคู่สัญญาที่มาติดต่อธุรกิจหรือนิติกรรมอาจมีเรื่องที่ไม่สุจริตซ่อนเร้นไว้ ดังนั้นคู่สัญญาจึงจะต้องมีที่ปรึกษากฎหมายคอยตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อนที่จะมีการทำนิติกรรมสัญญากัน หากไม่ตรวจสอบก่อน ลงนามในสัญญาไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็จะทำให้เสียรู้และเสียหายทางทรัพย์สินเป็นอย่างมาก ทนายคลายทุกข์จึงได้นำคำพิพากษาของศาลฎีกาเกี่ยวกับนิติกรรมซ่อนเงื่อนมานำเสนอให้ท่านผู้อ่านในวันนี้เพื่อดูไว้เป็นอุทาหรณ์หากจะต้องลงทุนหรือทำธุรกิจร่วมกับผู้อื่นควรจะให้ที่ปรึกษากฎหมายตรวจสอบให้ดีก่อนที่จะทำธุรกรรม ตัวอย่างคดีเกี่ยวกับเจตนาซ่อนเร้นมีดังนี้
เดชา กิตติวิทยานันท์
การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันมีความสลับซับซ้อนมาก เจตนาของคู่สัญญาที่มาติดต่อธุรกิจหรือนิติกรรมอาจมีเรื่องที่ไม่สุจริตซ่อนเร้นไว้ ดังนั้นคู่สัญญาจึงจะต้องมีที่ปรึกษากฎหมายคอยตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อนที่จะมีการทำนิติกรรมสัญญากัน หากไม่ตรวจสอบก่อน ลงนามในสัญญาไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็จะทำให้เสียรู้และเสียหายทางทรัพย์สินเป็นอย่างมาก ทนายคลายทุกข์จึงได้นำคำพิพากษาของศาลฎีกาเกี่ยวกับนิติกรรมซ่อนเงื่อนมานำเสนอให้ท่านผู้อ่านในวันนี้เพื่อดูไว้เป็นอุทาหรณ์หากจะต้องลงทุนหรือทำธุรกิจร่วมกับผู้อื่นควรจะให้ที่ปรึกษากฎหมายตรวจสอบให้ดีก่อนที่จะทำธุรกรรม ตัวอย่างคดีเกี่ยวกับเจตนาซ่อนเร้นมีดังนี้
1.คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 248/2536
หนังสือของโจทก์ที่มีไปถึงผู้จัดการ สาขาของโจทก์ แจ้งให้ทราบว่าหัวหน้ากลุ่มเกษตรกรจะต้องทำสัญญาค้ำประกัน เป็นการส่วนตัว สัญญาค้ำประกันก็ระบุว่าค้ำประกันเป็นการส่วนตัวไม่มี ข้อความใดให้เห็นว่าเป็นการค้ำประกันในนามกลุ่มเกษตรกร ภูมิลำเนาของผู้ค้ำประกันที่ระบุในสัญญาก็เป็นภูมิลำเนาของจำเลย มิได้ระบุว่าอยู่ที่ ที่ทำการของกลุ่มเกษตรกร และในช่อง ลายมือชื่อของจำเลยก็มิได้มีข้อความให้เห็นว่าลงชื่อไปในฐานะที่เป็นประธาน กลุ่มเกษตรกร จำเลยจะถือเอาผลของสัญญาตามความคิดที่มีอยู่ในใจไม่ได้ ต้องผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกมา ในขณะทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ จึงต้องฟังว่าจำเลยค้ำประกันเป็นการส่วนตัว
2.คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 580/2509
จำเลยทำสัญญาเป็นผู้กู้ แม้ในใจจริงจะถือว่าทำแทนผู้อื่นและไม่มีเจตนาให้ถูกผูกพันก็ตาม ก็ต้องผูกพันตามที่ได้แสดงเจตนาออกมา เว้นแต่ คู่กรณีอีกฝ่ายจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ ในใจนั้น
3.คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 12127/2558
การที่โจทก์แสดงเจตนาให้บริษัท ล.กู้ยืมเงินจากโจทก์ และบริษัท ล. นำเงิน ไปให้บริษัท ฟ. กู้ยืมต่อ เป็นนิติกรรมที่ทำขึ้นโดยไม่มีเจตนาแท้จริงที่จะบังคับให้ผูกพันกัน แต่เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างโจทก์ บริษัท ล. และบริษัท ฟ. โดยมีวัตถุประสงค์เพียง เพื่อให้ดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับหรือพึงได้ รับจากการให้กู้ยืมไม่ต้องนำมาเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เพราะอ้างว่าเป็นการกู้ยืม ระหว่างบริษัทในเครือเท่านั้น กรณีจึงต้อง ฟังว่าโจทก์ให้บริษัท ฟ. ซึ่งมิใช่บริษัทในเครือของโจทก์กู้ยืมเงิน
4.คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1010/2558
ในการทำนิติกรรมจดทะเบียนโอน กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบุตร จำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาจะทำนิติกรรมโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และ ที่ 3 จริง หากแต่กระทำเพื่อที่จะได้ รับยกเว้นภาษีอากรในการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินและจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็มิได้ชำระค่าที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันทำนิติกรรมจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทโดย ไม่สุจริต และไม่มีการชำระเงินกันจริง จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดิน พิพาทที่แท้จริง หากแต่ที่ดินพิพาทยังคง เป็นของจำเลยที่ 1 การแสดงเจตนาของ จำเลยทั้งสามในทางทะเบียนเกี่ยวกับ ที่ดินพิพาท จึงเป็นการแสดงเจตนาลวง โดยสมรู้ร่วมคิดกันย่อมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง
5.คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 9396/2555
หลังจากรถกระบะของโจทก์ที่ 1 เฉี่ยวชนกับรถกระบะของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันได้รับความ เสียหาย ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างยอมรับว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทของทั้งสองฝ่าย และต่างไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกัน ตามบันทึกการตกลงค่าเสียหายทางแพ่ง ในวันเดียวกันโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสอง ทำบันทึกข้อตกลงขึ้นอีก 1 ฉบับ
โดยมีสาระสำคัญว่า ฝ่ายจำเลยรับว่าจะซื้อรถยนต์คันใหม่ให้แก่ฝ่ายโจทก์ แล้วให้ฝ่ายโจทก์โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์หมายเลขทะเบียน ก - 1146 อุดรธานี (ป้ายแดง) ให้แก่ฝ่ายจำเลย ตามบันทึกการตกลงของคู่กรณีทางแพ่ง ซึ่งทำขึ้นก่อนบันทึกการตกลงของคู่กรณีทางแพ่ง ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างยอมรับว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทของทั้งสองฝ่าย และต่างไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกัน จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดอันใด ที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองอันสืบเนื่องมาจากเหตุรถยนต์ทั้งสองคัน เฉี่ยวชนกันอีก เมื่อตัวแทนของบริษัทผู้รับประกันภัยมาร้องขอให้ทำบันทึกการตกลงของคู่กรณีทางแพ่ง อ้างว่าเพื่อช่วยเหลือโจทก์ทั้งสอง บันทึกการตกลงของคู่กรณีทางแพ่ง คู่สัญญามีเจตนาลวงเพื่อนำไปเป็นหลักฐานให้บริษัทประกันภัยซ่อมรถยนต์ให้แก่โจทก์ที่ 1 บันทึกการตกลงดังกล่าวจึง ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสองจึงไม่จำต้อง รับผิดตามบันทึกการตกลงของคู่กรณี ทางแพ่ง
การทำธุรกิจกับคนแปลกหน้าต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ มิฉะนั้นอาจตกเป็นเหยื่อของการ แสดงเจตนาซ่อนเร้นได้


