ค่าขาดประโยชน์(รถ)ต้องเป็นธรรม
ส.วินาศภัยไทยขอให้คปภ.กำหนดวงเงิน“ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ”หากบริษัทใดไม่ทำตามถือเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
โดย วารุณี อินวันนา
การประกาศชัดเจนของสมาคมประกันวินาศภัยไทย ที่จะขอให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดวงเงิน “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” และค่าเสื่อมราคาไว้บนกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เพื่อให้บริษัทประกันภัยทุกแห่งต้องจ่ายให้กับผู้เสียหายจากรถที่มีประกันภัยชน หากบริษัทใดไม่ปฏิบัติตามถือว่าเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการจ่ายสินไหมและเกิดความรวดเร็วแก่ประชาชนผู้เสียหาย แม้ว่าทั้งสองเรื่องผู้เสียหายจากรถที่มีประกันภัยมาชนจะได้รับความคุ้มครองอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้จ่าย หรือจ่ายในราคาที่ไม่เป็นจริง ทำให้ผู้เสียหายมีการไปฟ้องร้องต่อศาลและ คปภ.
นับเป็นแนวคิดที่พัฒนาไปในทางที่ถูกต้องและโปร่งใสมากขึ้น เพราะ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนเจ้าของรถที่ถูกรถที่มีประกันภัยละเมิด จนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากรถคันนั้น เพราะต้องนำรถเข้าซ่อม ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และหากรถมีไว้เพื่อค้าขาย ก็ทำให้นำรถคันนั้นออกไปทำธุรกิจไม่ได้ ทำให้สูญเสียรายได้ ส่วนค่าเสื่อมราคาเกิดจากรถที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อซ่อมแล้ว ราคาตลาดจะลดลงเมื่อเทียบกับรถรุ่นเดียวกันที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ
ล่าสุดปี 2559 มีประชาชนที่เป็นเจ้าของรถยนต์ที่ซื้อประกันภัยภาคสมัครใจทุกประเภทมากถึง 8.62 ล้านคัน เบี้ยประกันภัย 1.05 แสนล้านบาท คิดเป็น 49.81% ของเบี้ยรับรวมทั้งระบบ 2.11 แสนล้านบาท
ที่ผ่านมาตลอด 20 ปี ผู้เสียหายจากรถที่มีประกันภัยชนและเป็นฝ่ายถูก แทบไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าว เพราะบริษัทประกันภัยไม่ได้บอกลูกค้าว่าสามารถเรียกร้องได้ และประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบ มีเพียงคนกลุ่มน้อยที่ทราบ แต่ต้องใช้เวลานานในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินชดเชย หลายรายต้องพึ่งทนายความให้ดำเนินการฟ้องร้อง จึงเป็นแหล่งทำเงินของทนายความบางกลุ่มที่หากินกับผู้ที่เดือดร้อน
ขณะที่ คปภ.ไม่ได้ทำการประชาสัมพันธ์ถึงสิทธิดังกล่าวให้กับประชาชนทราบ เพราะมองว่าเป็นกฎหมายที่ประชาชนทุกคนต้องรู้อยู่แล้วว่ามีสิทธินี้อยู่ โดยอยู่ในหมวดความคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก ที่ระบุว่าบริษัทประกันภัยต้องรับผิดชอบการขาดประโยชน์จากการใช้รถตามกฎหมายและความรับผิดของบริษัทตามจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้ และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 ยังระบุไว้ว่า ผู้ที่ถูกละเมิดมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ตามความเป็นจริง แต่ไม่เกินวงเงินเอาประกันภัย
ทั้งนี้ ตามสิทธิอันชอบธรรม สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้มี 3 กรณี คือ
หนึ่ง เจ้าของรถยนต์ที่เป็นฝ่ายถูก ถูกรถคันมีประกันภัยภาคสมัครใจทุกประเภทชนทำให้เกิดความเสียหาย เมื่อนำรถเข้าซ่อมแล้วถูกบริษัทประกันประวิงการซ่อม หรือมีการซ่อมล่าช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็นโดยไม่มีเหตุผลสมควร เช่น ระบุว่าจะซ่อมเสร็จภายในวันที่ 1 พ.ย. แต่ซ่อมล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร สามารถเรียกค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์การใช้รถได้ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย.เป็นต้นไป จนกว่าจะซ่อมเสร็จ
สอง ค่าขาดประโยชน์ จากการใช้รถนับตั้งแต่วันที่นำรถเข้าซ่อม ไม่สามารถใช้รถได้ ต้องเช่ารถใช้ หรือนั่งแท็กซี่ไปทำงาน ซึ่งเป็นส่วนที่มีการเรียกร้องมากที่สุด และบางรายค่าเสียหายส่วนนี้มากกว่าค่าซ่อมอีก
สาม ค่าขาดประโยชน์ในกรณีใช้รถเพื่อการพาณิชย์ เช่น รถเช่า หรือรถรับจ้าง จะมีค่าเสียหายที่แตกต่างจากรถยนต์ส่วนบุคคล ในกรณีที่มีหลักฐานการขาดประโยชน์จากการใช้รถชัดเจน รถ อาชีพของผู้เรียกร้อง สมเหตุสมผลจะไม่มีปัญหา มักตกลงกันได้
หลังจากที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมออนไลน์ มีการแบ่งปันประสบการณ์ วิธีการเรียกร้อง เอกสารที่ต้องใช้ และข้อกฎหมาย ออกมาเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การเรียกร้อง “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมแทบจะเป็น 0 ขึ้นมาใกล้ระดับ 30% ของค่าสินไหมทดแทนรวม และเกิดการนำเรื่องฟ้องร้องศาลกันจำนวนมาก เนื่องจากยังมีบริษัทประกันภัยบางส่วนที่ยังคงใช้แนวคิดการจ่ายสินไหมแบบเก่าๆ ที่จะพยายามจ่ายให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจโดยรวม
จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่จะให้ คปภ.ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ด้วยการระบุวงเงินค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถบนกรมธรรม์ให้ชัดเจน จะได้ตัดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับบริษัทประกันภัย และยังใช้เป็นบทลงโทษบริษัทประกันภัยแนวคิดเก่าๆ รวมถึงยังจะใช้อัตราเดียวกันนี้ไปเป็นราคาอ้างอิงในการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ อันเนื่องจากถูกรถที่ไม่ได้ทำประกันภัยมาชนรถที่มีประกันภัย ซึ่งจะทำให้ผู้เสียหายทุกคนสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากรถที่มีประกันภัย และเรียกร้องค่าเสียหายจากรถที่ไม่มีประกันภัยได้ ซึ่งกลุ่มหลังมีจำนวนมาก
ขณะเดียวกันจะเป็นโอกาสในการมีสถิติการจ่ายค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ นำไปเป็นหนึ่งในต้นทุนของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจโดยรวม และใช้ในการปรับขึ้นเบี้ยประชาชนที่มีพฤติกรรมการขับขี่ไม่ระมัดระวังก่อให้เกิดอุบัติเหตุบ่อย เพื่อไม่ให้กระทบและเป็นธรรมกับประชาชนที่ขับขี่ดีอย่างไรก็ตาม การกำหนดวงเงินชดเชยค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ต้องมีความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีอยู่ 3 กลุ่ม คือ
หนึ่ง ผู้เสียหายจากรถที่มีประกันชน หรือบุคคลภายนอก จะต้องได้รับการชดใช้ หรือเยียวยา อย่างเหมาะสมกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งบริษัทประกันภัย และ คปภ. จะต้องรวบรวมค่าเสียหายที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จากบริษัทประกันภัยด้วยกันเอง จากคำพิพากษาของศาลที่เคยตัดสินในกรณีนี้ไว้ โดยคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันเพื่อให้ใกล้เคียงกับความเสียหายจริงที่สุด
ขณะเดียวกัน ในกรณีที่ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถสูงกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ และไม่เกินวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อขอรับชดเชยตามความเป็นจริงได้ สอง ผู้เอาประกันภัยหรือผู้ซื้อประกันภัยรถยนต์จะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยในอัตราที่เหมาะสม ไม่กระทบถึงความสามารถในการชำระเบี้ย จนเป็นเหตุให้ไม่ทำประกันภัย ซึ่งจะกระทบต่อสังคมโดยรวม สาม บริษัทประกันวินาศภัยต้องอยู่ได้ โดยมีรายได้ในการพัฒนาธุรกิจและบริการแก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว


