ธีรพัฒน์ จิรพิพัฒน์ เอ็มดี CRD สนุกกับงานเรียนรู้ได้หลากหลาย

โดย บงกชรัตน์ สร้อยทอง

"ธีรพัฒน์ จิรพิพัฒน์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ริมดอย (CRD) อายุ60 ปี ผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างทั่วไปและรับเหมาก่อสร้างงานระบบสาธารณูปโภคตามแบบที่ลูกค้ากำหนด จากเชียงใหม่เพิ่งจดทะเบียนเข้าในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา

เขาเกิดมาในสายงานวิศวกรรมศาสตร์ ด้านโยธาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จบมาทำงานสักพักก็มาเรียนต่อปริญญาโทด้านเดิมคือโยธา ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเริ่มทำด้านวิศวกรที่ปรึกษา ตั้งแต่งานออกแบบโครงสร้าง ศึกษาความเหมาะสมและสร้างสิ่งต่างๆ ในโครงการใหญ่เพื่อเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์

ในวัยหนุ่มเพียง 30 ปี ธีรพัฒน์อยากเป็นเจ้าของธุรกิจจึงรวมตัวกับเพื่อนตั้งบริษัทขึ้นเพราะอยากกลับไปอยู่บ้านที่เชียงใหม่ เริ่มจากสิ่งที่เป็นไปได้ด้วยงานพื้นฐานคือ รับเหมาก่อสร้างและเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังรุ่งเรืองทำอะไรเป็นเงินเป็นทองหมด

เริ่มจากรับเหมาบ้านจัดสรร จนมีโอกาสรับงานราชการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ด้วยความบังเอิญผสมความมั่นใจจากที่ได้เรียนรู้ตอนที่ทำงานเก่า คือ งานโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เพราะผู้รับเหมาเดิมทิ้งงานไป เพราะวัยหนุ่มอยากลองทำและเห็นงานใหญ่ และก็คิดไม่ผิดจนกลายเป็นพอร์ตงานอย่างหนึ่งให้กับบริษัทเพราะเป็นงานมูลค่า 50 ล้านบาท จากเดิมที่รับงานไม่เคยถึง 10 ล้านบาท

จากนั้นเริ่มรับงานที่มีความผสมผสานมากขึ้น ทั้งงานโยธาทั่วไป งานออกแบบและวางระบบบำบัดน้ำเสียโรงพยาบาลชุมชน งานสถานีโรงไฟฟ้าย่อยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จนปี 2540 บริษัทเกิดปัญหาเรื่องสภาพคล่องเพราะเป็นลูกค้าของแบงก์ บีบีซี สิ่งที่ขอกู้และการันตีกับแบงก์เป็นศูนย์ทั้งหมด จนได้แฟกเตอริ่งแห่งหนึ่งช่วย สุดท้ายทำให้บริษัทผ่านพ้นและผลประกอบการไม่ติดลบมาได้

ปี 2556 เศรษฐกิจกลับมาบูม ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เริ่มกระจายงานไปต่างจังหวัดและหาผู้รับเหมาก่อสร้างที่เชียงใหม่ ทำให้ CRD ได้รับงานสร้างคอนโดมิเนียมของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์กว่า 400 ล้าน และคอนโดผู้พัฒนาเป็นคนเชียงใหม่โครงการ ASTRA มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ทำให้รายได้ปี 2557 ขึ้นไปเกือบ 800 ล้านบาท ปี 2558 อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ขณะที่ปี 2559 รายได้ลงมาอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท

เท่ากับเป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเป็นบริษัทที่สามารถรับงานได้หลากหลายตั้งแต่งานก่อสร้างอาคารทั่วไป งานประปา หรืออย่างงานบำบัดน้ำเสีย โรงไฟฟ้าพลังน้ำ และสถานีไฟฟ้าย่อยซึ่งเป็นงานเฉพาะด้านบริษัทก็ทำได้ ส่งผลให้บริษัทมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นในความสามารถการรับงานได้มากกว่า เพราะหากบางปีที่เอกชนไม่ลงทุนก็มีความสามารถเน้นประมูลงานภาครัฐที่มีงานเฉพาะด้านมากกว่า และทำให้บริษัทมีรายได้ที่ต่อเนื่อง เพียงแต่สัดส่วนรายได้พร้อมที่จะแปรผันกับงานออกมาระหว่างงานรัฐกับเอกชนช่วงปี 2556 รับงานรัฐถึงมากกว่า 80% จนสัดส่วนเอกชนเริ่มแซงปี 2558 และปัจจุบันงานภาครัฐกลับมาอยู่ระดับที่ 85%

นอกจากนั้น ยังทำให้บริษัทเลือกรับงานที่มีอัตรากำไรขั้นต้นด้านเอกชนมากกว่า 10% และรัฐบาลต้องไม่ต่ำกว่า 5% แต่อัตรากำไรขั้นต้นในงานที่มีความเฉพาะด้านก็จะมีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ที่สูงกว่างานก่อสร้างทั่วไป

จุดเริ่มต้นต้องการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) เพราะธุรกิจรับเหมาต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนสูงโดยเฉพาะงานรัฐ ทั้งที่ศักยภาพบริษัทสามารถรับงานในมูลค่าที่เข้าสู่หลักกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไปได้ จากปัจจุบันเฉลี่ยมูลค่างานอยู่ที่ 500 ล้านบาท แต่ติดเรื่องเงินทุนหมุนเวียน ที่ผ่านมาต้องซื้อที่ดินเพื่อเอาไปให้แบงก์ การันตี ทำให้มองหาทางเลือกอื่นเข้ามาช่วย

"เข้า mai แล้วทำให้ปีหน้าสามารถรับงานหลัก 1,000 ล้านบาทขึ้นไป อีกทั้งยังขยายการรับงานที่มีความเฉพาะด้านในภูมิภาคอื่นได้เพราะอดีตและปัจจุบันก็มีงานบำบัดน้ำเสียที่ จ.นนทบุรี นครนายก ราชบุรี หรือภาคอื่นต่อเนื่อง รวมถึงการก้าวเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กเอง"

หลักการทำงานส่วนตัวคือ "ต้องสนุกกับงาน" ทีมคือบริษัทที่ปรึกษาขนาดใหญ่ มีความรู้ที่หลากหลายให้เรียนรู้ งานส่วนไหนว่างก็พร้อมทำความเข้าใจตั้งแต่เรื่องศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลด้านเศรษฐกิจภาพใหญ่ พอได้เรียนรู้ ทำสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ก็จะรู้สึกสนุก พอเจองานใหม่ๆ ก็ ไม่กลัว และทำให้ทำงานได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

ที่สำคัญคือได้เห็นวิวัฒนาการของงานที่เราทำในแต่ละงาน และจะตั้ง เป้าหมายไว้ว่าแต่ละงานต้องทำให้ดีขึ้น เหมือนสร้างเกณฑ์ในการทำงานขึ้นมา โดยพร้อมที่จะสร้างสิ่งใหม่และพัฒนาการสิ่งเก่าให้ขึ้นมาดี เน้นการบริหารและคุมโครงสร้างต้นทุนในการดำเนินงานให้ดี และแง่คิดนี้ได้มาจากที่ทำงานเก่าล้วนๆ