อารยะแห่งการถอดและไม่ถอดเกือก
กรกิจ ดิษฐานเมื่อเร็วๆ นี้เห็นภาพใต้เท้าทั้งหลายใส่เกือกในงานพระราชพิธีบนพระอุโบสถวัดพระแก้วที่โพสต์ไว้ นึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินมาว่ารัชกาลที่ 5 ทรงเคยมีพระราชปุจฉาถามสมเด็จพระสังฆราชว่า การใส่รองเท้าเข้าเจติยสถานนั้นเหมาะหรือไม่เหมาะประการใด แต่นึกไม่ออกว่าเคยอ่านที่ไหน และอยากจะเขียนเรื่องนี้ เพราะผมถือคติโบราณว่าเข้าวัดต้องถอดรองเท้าตั้งแต่ก่อนสีมา แต่คนเดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่แทบจะใส่เกือกขึ้นโบสถ์กันแล้ว
กรกิจ ดิษฐาน
เมื่อเร็วๆ นี้เห็นภาพใต้เท้าทั้งหลายใส่เกือกในงานพระราชพิธีบนพระอุโบสถวัดพระแก้วที่โพสต์ไว้ นึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินมาว่ารัชกาลที่ 5 ทรงเคยมีพระราชปุจฉาถามสมเด็จพระสังฆราชว่า การใส่รองเท้าเข้าเจติยสถานนั้นเหมาะหรือไม่เหมาะประการใด แต่นึกไม่ออกว่าเคยอ่านที่ไหน และอยากจะเขียนเรื่องนี้ เพราะผมถือคติโบราณว่าเข้าวัดต้องถอดรองเท้าตั้งแต่ก่อนสีมา แต่คนเดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่แทบจะใส่เกือกขึ้นโบสถ์กันแล้ว
สรุปว่าไปเจอเรื่องนี้ในหนังสือเที่ยวเมืองพม่าของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านเล่าเรื่องความขัดแย้งระหว่างนายฝรั่งอังกฤษกับชาวอาณานิคมพม่า ฝ่ายหลังไม่พอใจที่ฝรั่งใส่เกือกเข้าวัด กระทั่งเหยียบลานพระเจดีย์สำคัญ ซึ่งพม่า (รวมถึงมอญ ยะไข่ ไทยใหญ่) ถือว่าหักหาญน้ำใจกันเกินไป เพราะคนที่นั่นถือธรรมเนียมถอดรองเท้าตั้งแต่ประตูวัดด้านนอก แม้แต่ถุงเท้าก็ไม่เอาไว้ เดี๋ยวนี้ก็ยังปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ผิดกับไทยที่โมเดอร์ไนซ์ไปเรียบร้อยแล้ว
กรณีฝรั่งใส่เกือกเข้าวัดเป็นความขัดแย้งรุนแรงที่สุดระหว่างอังกฤษกับพม่า เหตุที่พม่าตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ ส่วนหนึ่งเพราะพระเจ้ามินดงสั่งให้ฝรั่งถอดรองเท้าเข้าท้องพระโรง แต่อังกฤษไม่ยอมถอดเด็ดขาด บอกว่าหยามกันเกินไป พระเจ้ามินดงจึงไม่ยอมรับทูตอังกฤษ ทั้งสองฝ่ายจึงคุยกันด้วยไมตรีไม่ได้สักที พอถึงรัชกาลพระเจ้าตีบอยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ยอมแก้ไขเรื่องนี้ จนเมื่อเกิดความขัดแย้งเรื่องอื่นๆ อังกฤษสามารถยกทัพมายึดเมือง ใส่เกือกย่ำมาปลดพระเจ้าตีบอถึงพระราชบัลลังก์ในที่สุด
แต่ครั้นอังกฤษได้พม่าแล้ว กลับแนะให้ฝรั่งเคารพธรรมเนียมถอดเกือกเข้าวัด เพื่อที่จะลดกระแสต่อต้านจากชาวพม่า ซึ่งได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่อย่างน้อยทำให้คนท้องถิ่นเริ่มปรับตัว (คาดว่านายอังกฤษบำรุงประเทศดีด้วยจึงเลิกขบถ) อย่างที่กรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าว่า "เมื่อฉันไปเมืองร่างกุ้งครั้งแรกใน พ.ศ. 2434 นั้น ฉันแต่งตัวอย่างฝรั่ง ใส่เกือกขึ้นไปบนลานพระเกศธาตุก็ไม่มีใครห้ามปราม พวกพะม่าที่เป็นกรรมการรักษาพระเกศธาตุในสมัยนั้นมาพาฉันเที่ยวดูด้วยซ้ำไป"
แต่แล้วเมื่อผ่านมาอีก 4 ทศวรรษ กรมพระยาดำรงฯ กลับไปเที่ยวพม่าอีกรอบ คราวนี้ชาวพม่าเริ่มจะตระหนักในอิสรภาพของตัวเองมากขึ้น และยกพุทธศาสนาขึ้นมาเป็นธงนำกระแสชาตินิยม คือหลัก "พม่าเท่ากับความเป็นพุทธ" (หลักนี้ยังใช้อยู่และเป็นเชื้อมูลของชาตินิยมพุทธหัวรุนแรง) หนึ่งในการรณรงค์เรียกร้องเอกราชคือการสั่งห้ามฝรั่งใส่เกือกเข้าวัดเป็นอันขาด คราวนี้นายอังกฤษเริ่มตะขิดตะขวงใจ เพราะเห็นว่าคำสั่งห้ามของชาวพุทธพม่าไม่น่าจะเกี่ยวกับศาสนาแล้ว แต่ยัดไส้เจตนาทางการเมือง
กรณีนี้เรียกว่า "The shoe question" หรือปัญหาเรื่องเกือก จะเป็นเหตุให้พม่าต่อสู้เพื่อเอกราชอย่างเอาเป็นเอาตายในเวลาต่อมา
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้บังเอิญจนน่าแปลก เพราะพม่าเสียเมืองเพราะเกือก พอจะได้เอกราชก็เพราะทะเลาะเรื่องเกือกอีกเหมือนกัน
กลับมาที่ไทย มีกรณี "The shoe question" แบบเบาะๆ เช่นกัน แต่เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลอาณานิคมพม่าถามรัฐบาลสยามว่าตกลงประเพณีถอดเกือกเข้าวัดนี่มันยังไงกันแน่? ทำเอาวุ่นกันไปหมด
กรมพระยาดำรงฯ เล่าว่า "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ส่งคำถามไปยังสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ถวายวินิจฉัยว่าบุคคลเข้าไปในเจดียสถานจะเป็นเจดียสถานในศาสนาของตนเองก็ตามหรือศาสนาอื่นก็ตาม ควรเข้าไปด้วยความเคารพ ถ้าไม่อยากจะเคารพก็ไม่ควรเข้าไป... ถ้าว่าฉะเพาะด้วยเครื่องแต่งตัว คนชาติใดหรือจำพวกใดถือประเพณีว่าแต่งตัวอย่างไรเป็นการเคารพ ก็ควรแต่งตัวอย่างนั้น ไม่ได้เป็นใหญ่อยู่ที่เกือก" หมายความว่า จะใส่หรือไม่ใส่เกือกไม่สำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่เจตนา
ถ้าผมจำไม่ผิด พระสมณวินิจฉัยนี้ไม่ได้ช่วยชี้ทางออกให้อังกฤษเท่านั้น แต่ยังเป็นทางออกให้กับการใส่รองเท้าเข้าพระอุโบสถในงานพระราชพิธีด้วย ในทำนองว่า อารยประเทศใส่รองเท้าเข้าสถานที่สำคัญถือเป็นการแสดงความเคารพ สยามเดี๋ยวนี้ถือตามคติสากล จะใส่รองเท้าเข้าโบสถ์เพื่อแสดงความเคารพตามอารยประเทศ (ตะวันตก) ก็ดีงามอยู่
สรุปก็คือ พม่ายังเชื่อแบบคติพุทธดั้งเดิมว่าถอดรองเท้าหมายถึงการแสดงความเคาพ ส่วนสยามปรับตัวเองให้ทันสมัย มองว่าใส่รองเท้าเข้าวัดก็เคารพเหมือนกัน แต่เคารพตามธรรมเนียมฝรั่ง ซึ่งไม่ใช่การเล่นลิ้น แต่อังกฤษเชื่อว่าการใส่รองเท้าและแต่งตัวสุภาพแบบตะวันตกเป็นจรรยามารยาทอย่างหนึ่งจริงๆ และแน่ล่ะ เพื่อประกาศว่าสยามเป็นรัฐสมัยใหม่ จะมาใช้ค่านิยมคนผิวขาวดูแคลนเรา หรือใช้เป็นข้ออ้างยึดแผ่นดินเราไม่ได้
ปัญหาก็คือ คงมีแต่ชนชั้นนำเท่านั้นที่เข้าใจเจตนาของการปรับเปลี่ยน ส่วนคนทั่วไปที่รับค่านิยมนี้มาไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริง ทำให้คนไทยพุทธกลายเป็นฝรั่งกึ่งหนึ่งไทยกึ่งหนึ่ง และเกรงใจพระอารามน้อยลงไปทุกที
ก็อย่างพระสมณวินิจฉัยล่ะครับ ในยุคนี้แล้วจะแต่งอย่างไรไม่สำคัญ "สิ่งสำคัญอยู่ที่เจตนา" ใครจะใส่เกือกขึ้นโบสถ์ หรือถอดรองเท้าเดินประทักษิณก็แล้วแต่ศรัทธา อย่าหักหาญน้ำใจกันเหมือนอังกฤษกับพม่าเป็นพอ
แต่สากลนิยมในสมัยรัชกาลที่ 5 กับสมัยนี้ต่างกันมาก ในยุคนั้นค่านิยมแบบ Gentleman ยังไม่สูญ ฝรั่งเข้าวัดแม้จะใส่เกือกแต่มีรสนิยมการแต่งกายน่านับถือ ต่างจากยุคนี้ที่ใครใคร่แต่งแต่ง (แต่ไร้รสนิยม) จนวัดดูเหมือนสวนสนุก
ผลก็อย่างที่เห็นล่ะครับ
-ภาพ บอริส จอห์นสัน นักการเมืองอังกฤษ ถอดรองเท้าขณะเข้าไปตีระฆังในเขตพระเจดีย์ชเวดากอง ระหว่างเยือนเมียนมาเมื่อเดือน ม.ค. ปีนี้ี้ n


