เศรษฐกิจรอบสัปดาห์

คุมเข้มสินเชื่อส่วนบุคคล

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ถึงความคืบหน้าในการควบคุมสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อมีส่วนให้คนไทยใช้จ่ายเงินไม่เกินตัว ไม่ก่อหนี้สูงเกินไป โดยจำกัดเพดานเงินกู้ตามฐานรายได้เงินเดือนเป็นแบบขั้นบันได

ทั้งนี้ ต่อไปผู้ที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 1.5-3 หมื่นบาท จะได้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 1.5 เท่าของฐานเงินเดือน ส่วนเงินเดือน 3-5 หมื่นบาท จะได้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 3 เท่า ขณะที่ผู้มีเงินเดือน 5 หมื่นบาทขึ้นไป จะได้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 เท่า โดยจะจำกัดการถือครองบัตรเครดิตของประชาชนที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 3 หมื่นบาท ถือบัตรได้เพียง 3 ใบ

เดินหน้าไฮสปีดเทรน กทม.-โคราช

คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. ดำเนินโครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูง ช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. วงเงิน 179,413 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี โดยรัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมด สำหรับการเดินทางช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมาใช้ระยะเวลา 1.17 ชม. คาดว่าเปิดให้บริการในปี 2564 จะมีผู้ใช้บริการ 5,300 คน/วัน และคาดว่าภายในปี 2594 จะมีผู้ใช้บริการขั้นต่ำ 2.68 หมื่นคน/วัน มีรถไฟให้บริการจำนวน 26 ขบวน วิ่งให้บริการทุก 35 นาที ค่าโดยสารคิดที่อัตรา 80 บาท +1.8 บาท/กม. เช่น กรุงเทพฯ-สระบุรี 278 บาท กรุงเทพฯ-ปากช่อง 393 บาท กรุงเทพฯ-นครราชสีมา 535 บาท

เก็บภาษีบ้าน 20 ล้านบาท

คณะกรรมาธิการสามัญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อยู่ระหว่างพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างวาระ 2 โดยกระทรวงการคลังคาดว่าในชั้นกรรมาธิการจะใช้เวลาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินอีกประมาณ 45 วัน จึงจะสามารถเสนอเข้าสู่วาระ 3 คาดว่ามีผลบังคับใช้ในปี 2562

นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง ระบุว่า ในชั้นกรรมาธิการ มีการเสนอว่าระยะแรกควรเก็บภาษีไม่ต้องเต็มเพดาน เช่น บ้านราคา 20-30 ล้านบาท อาจให้เสียภาษีน้อยลงหน่อยอาจเหลือแค่หลักพันบาทต่อไป เพื่อดึงคนเข้าสู่ระบบภาษีได้อย่างเต็มใจ ซึ่งเดิมมีการศึกษาว่า บ้านรวมที่ดินราคาเกิน 50 ล้านบาท จะมีคนต้องเสียภาษี ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2 หมื่นราย แต่หากลดเพดานมาได้เชื่อว่าน่าจะมีคนที่เข้าสู่ระบบภาษีได้มากอีกกว่าเป็นเท่าตัว

จับตาดีมานด์เทียมป่วนตลาดอสังหา

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวและเริ่มมีสัญญาณที่น่าเป็นห่วงในตลาดคอนโดมิเนียม โดยบริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลว่า สัดส่วนการซื้อขายคอนโดในปัจจุบันเป็นการซื้อที่ไม่ได้ใช้อยู่อาศัยจริง (ซื้อลงทุนและเก็งกำไร) หรือที่เรียกว่า ดีมานด์เทียม สูงถึง 40-50% และผู้ซื้อกลุ่มนี้ซึ่งมีทั้งคนไทยและต่างชาติ บางส่วนเริ่มทิ้งดาวน์เนื่องจากไม่ได้ผลตอบแทนตามคาดหวังไว้

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ เนื่องจากผู้ประกอบการยังสามารถนำห้องชุดที่ทิ้งดาวน์กลับมาขายใหม่ได้ และสามารถขายได้ในราคาสูงกว่าราคาพรีเซล เพราะราคาคอนโดมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาห้องชุดช่วงครึ่งแรกปี 2560 ปรับขึ้น 5.8% จากราคาที่ดินและต้นทุนก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้น