‘พรศักดิ์ ตันตาปกุล’ เมื่อลงทุนต้องกำไรดี

โดย...บงกชรัตน์ สร้อยทอง

พรศักดิ์ ตันตาปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น (D) วัย 45 ปี กว่าจะมาเป็นผู้บริหารและประสบความสำเร็จการเป็นเจ้าของและผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ทันตกรรมครบวงจรอย่างทุกวันนี้ ถือว่าชีวิตได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก โดยได้หลักคิดและการบริหารเงินจากคุณพ่อคุณแม่ซึ่งเป็นคนจีน

“ที่บ้านสอนให้รู้จักการใช้และบริหารเงินมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จนถึงเรียนจบปริญญาโท เพราะตั้งแต่ 10 ขวบ ต้องนั่งรถทัวร์จากกระบี่มาเรียนที่กรุงเทพฯ และอาศัยอยู่กับพี่สาว 2 คน เพราะพ่อซื้อบ้านไว้ โดยทุกวันขึ้นรถเมล์ต่อรถสองแถวไปโรงเรียน ทางบ้านจะให้ค่าใช้จ่ายสำหรับใช้ชีวิตส่วนตัว 1 เดือน อยู่ที่เราเองว่าจะบริหารเองอย่างไร แต่ถ้าเป็นค่าอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างต้องเขียนรายละเอียดและค่าใช้จ่ายชัดเจนให้พ่อกับแม่ดู”

พ่อแม่เลี้ยงลูก 7 คนใช้หลักชัดเจน คือ ให้ลูกเรียนหนังสือให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ระหว่างเรียนบอกกับลูกๆ ว่า ลูกมีหน้าที่เรียนก็เรียนไปไม่ต้องออกไปทำงาน แต่ถ้าปิดเทอมเมื่อไรต้องกลับไปช่วยพ่อแม่ค้าขาย

จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาได้เรียนรู้คำว่า “คุณค่าของเงิน” อย่างเข้าใจมากที่สุด คือ เมื่อปี 2540 ที่บ้านจำเป็นต้องขายโรงงานน้ำยางข้นทิ้งไป เพราะดอกเบี้ยขึ้นไป 24-30% เขาเหมือนเด็กนักเรียนนอกทั่วไปที่บ้านเรียกตัวกลับมาเพราะไม่มีเงินส่ง ในขณะที่เขาเพิ่งเรียนจบการจัดฟันที่นิวยอร์ก และเพิ่งได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยจากประเทศอังกฤษเรียนต่อในระดับปริญญาโท

เขาขอไม่กลับเพราะไม่ใช่โอกาสง่ายที่จะได้เข้ามาเรียนที่นี่ ลุกขึ้นหาข้อมูลทุกอย่างที่ต้องผ่านด่านแรกคือมีเงินไปลงทะเบียนเรียน 2 หมื่นปอนด์ก่อน จนเจอโครงการช่วยเหลือเด็กเอเชียที่ให้กู้เงินเรียนก่อนแล้วค่อยมาใช้คืน จากนั้นก็เริ่มหางานทำ 18 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ที่ร้านอาหารจีนด้วยการเป็นเด็กส่งของเดลิเวอรี่

“ตอนนั้นเรียกว่าเงินมีค่ามาก จะกินข้าวต่อมื้อ คำนวณเลยว่าต้องไม่เกินเท่าไร จนพี่สาว 4 คน ได้รวมเงินเก็บทั้งหมดที่มีมาให้เป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่เรียน แล้วบอกว่าให้ผมตั้งใจเรียนให้จบ ซึ้งใจกับพี่สาวทุกคน และบอกว่าให้จดทุกบาททุกสตางค์เพราะถ้าเรียนจบกลับมาจะรีบทำงานเพื่อคืนให้พี่สาวทุกคนที่เสียสละให้เรา กลับมาทำงานหนัก 2 ปี เรียกได้ว่ารับงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ รับคนไข้วันละ 60 คน เพื่อจะปลดหนี้จากการกู้ยืมเงินและให้พี่สาวจนหมดส่วนตัวหมด เพราะเชื่อว่าเราได้เงินเยอะจากการทำงานหนักได้ แต่อย่าไปได้เงินเยอะโดยไปโกงหรือขูดรีดคนไข้”

จนเก็บออมได้ก็มาลงทุนสร้าง D จนถึงวันนี้ พอได้เงินมาก็เริ่มซื้อที่ดินเก็บเพราะคิดว่าธุรกิจโรงแรมจะมีกำไรที่มากกว่า มองว่าหากจะมีชีวิตที่มั่งคั่งหรือมีเงินได้ ต้องลุยทำธุรกิจที่ต้องมีกำไรที่ดี จึงสร้างโรงแรมริมทะเลและให้เซ็นทาราบริหาร คือ โรงแรมเซ็นทารา อันดาเทวี รีสอร์ท แอนด์ สปา กระบี่ เปิดมาแล้ว 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็เห็นผลชัดเจนว่าอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 30% ขึ้นไป และกำลังจะสร้างธุรกิจโรงแรมแห่งที่ 2 ทำให้พอร์ตตอนนี้เป็นการลงทุนโดยตรงคิดเป็นประมาณ 35-40% ของพอร์ตรวม

ขณะที่ที่ดินคิดเป็น 50-60% ของพอร์ต ซึ่งตั้งแต่ซื้อที่ดินมาเพิ่งขายไปที่เดียวให้ผลตอบแทน 80% และส่วนที่เหลือไม่ถึง 5% เป็นพอร์ตหุ้นที่เน้นกลุ่มขนาดใหญ่หรือขนาดใหญ่พื้นฐานดี โดยรอเล่นเป็นรอบและรอมูลค่าหุ้นราคาต่ำลงมาแล้วค่อยไปรอรับ ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นธนาคารกรุงไทย (KTB) บริษัท ปตท. (PTT) และบริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT) โดยบอกว่าไม่ลงทุนหุ้นต่ำกว่า 1 บาท หรือหุ้นปั่นเด็ดขาด เพราะมองว่าไม่มีปัจจัยพื้นฐานแล้วก็อย่าไปยุ่งตั้งแต่แรก โดยคาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 10-15%