posttoday

KCE ลั่นรายได้ 3 หมื่นล้าน กลยุทธ์นิวไฮตลอดถึงปี’64

12 กันยายน 2559

โดย...ประลองยุทธ  ผงงอย

โดย...ประลองยุทธ  ผงงอย

บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) เพิ่งเป็นน้องใหม่ที่ได้รับเลือกคำนวณใน SET50 รอบใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2559 และยังประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2 ออกมาทำจุดสูงสุดใหม่ นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา และตั้งเป้าที่จะทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

“พิธาน องค์โฆษิต” กรรมการผู้จัดการ KCE ให้สัมภาษณ์ถึงแผนการดำเนินธุรกิจและเป้าหมายการเติบโตของบริษัทในระยะยาว (2559-2564) จะมีรายได้เติบโตเพิ่มเป็นมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 15-17% เป็นการสร้างจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องทุกปีด้วย สำหรับปีนี้คาดว่าจะมีรายได้จากการขายประมาณ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท เติบโตราว 16-17% จากปี 2558 ที่ทำได้ประมาณ 1.20 หมื่นล้านบาท โดยปกติช่วงไตรมาส 3 จะเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ

บริษัทจะเดินไปถึงเป้าหมาย 3 หมื่นล้านบาทได้ โดยมีกลยุทธ์ภายในหลักคือ การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อเนื่อง โดยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา บริษัทใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนระบบกำหนดแผนงาน เพื่อได้เป้าหมายการทำงานและการวัดผลงาน (เคพีไอ) ซึ่งอาจจะปรับอีกเล็กน้อย เพื่อให้ระบบแข็งแรงขึ้นสามารถควบคุมบริหารจัดการการทำงานในทุกๆ ด้านขององค์กรได้ครบ 100% 

นอกจากนั้น การเติบโตยังมาจากคำสั่งซื้อของลูกค้าเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังจากแย่งส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อัตราการเติบโตชนะคู่แข่ง เรามีต้นทุนที่แข่งขันได้ ทั้งกับจีนกับไต้หวันซึ่งครองมาร์เก็ตแชร์ตลาดแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ของโลก รวมกันถึง 60-70% แม้การแข่งขันด้านราคาจะมีความรุนแรงมากขึ้นก็ตาม แต่บริษัทยังสามารถบริหารจัดการคุณภาพและการผลิตสินค้าได้ โดยมีต้นทุนที่ลดลงทำให้ลูกค้าเริ่มชอบสินค้าของบริษัทจนสร้างรายได้ต่อเนื่องในปี 2560-2561 บริษัทจึงตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ในปีหน้า

ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 35% ปรับขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันประมาณ 10 ไตรมาส และยังเป็นจุดสูงสุดใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งมาจากทั้งรายได้ที่เติบโตและแผนการลดต้นทุน ในแต่ละปีบริษัทจะมีประมาณ 200-300 โครงการใช้ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดการสูญเสียของเศษวัตถุดิบที่เกิดจากกระบวนการผลิต โดยในปีนี้จะมีมาร์จิ้นประมาณ 35-36% แต่เราต้องรักษาสมดุลของการเติบโตด้วย

“ถ้าจะให้เลือกระหว่างการเติบโตของรายได้กับการเพิ่มมาร์จิ้น ผมขอเลือกการเติบโต เพราะมาร์จิ้นจะมาเอง ถ้ารายได้โตเพราะถ้าไม่เติบโต แต่อยากได้มาร์จิ้นที่สูงจะไม่สามารถรักษาไว้ได้ในระยะยาว ต้นทุนส่วนใหญ่ของธุรกิจนี้คือ ค่าเสื่อม ค่าแรง วัตถุดิบ จะปรับลงได้ยาก ตอนนี้ต้นทุนหลักเหล่านี้สัดส่วนประมาณ 30-40% ของต้นทุนรวมรอขึ้นอยู่ ปกติลูกค้าจะต่อรองขอลดราคาลงประมาณ 2-3% ต่อปีด้วย การคิดกลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจะเป็นปัจจัยให้บริษัทเติบโตและสามารถรักษามาร์จิ้นได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว”

สำหรับเป้าหมายการเติบโตในปี 2564 จะต้องมีการลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในประเทศอีก 1 แห่ง มูลค่าประมาณ 4,700 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังผลิตอีกประมาณ 2 ล้านตารางฟุต/เดือน จะเริ่มสร้าง ปลายปี 2561 จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี แล้วเสร็จ ส่วนเงินทุนจะใช้เงินสดของบริษัทจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท/ปี เพียงพอรองรับการลงทุนใน 2-3 ปีข้างหน้า

พิธาน กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายกระจายความเสี่ยงด้านการขยายกำลังการผลิต หลังโรงงานใหม่เสร็จจะออกไปตั้งโรงงานในต่างประเทศที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่าไทย รวมถึงปัจจัยด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติเพราะโรงงานที่ จ.พระนคร ศรีอยุธยา เคยได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 จึงพิจารณาในประเทศเมียนมาและกัมพูชา คาดจะเห็นการขยายฐานออกไปในปี 2563-2564

อีกทั้งบริษัทจะต้องขยายฐานลูกค้าใหม่ไปหากลุ่มอื่นๆ ที่มีโอกาสมาช่วยสร้างการเติบโต เพราะหากยังคงพึ่งกลุ่มลูกค้าหลักคือยานยนต์ที่มีสัดส่วนประมาณ 70% ต่อไป จะไม่ได้แล้วเพราะในปี 2564 สัดส่วนจะลดลงเหลือประมาณ 60% ส่วนกลุ่มลูกค้าใหม่ อาทิ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 2-3% ของยอดขาย คาดในปี 2560 จะทยอยเพิ่มเป็น 3-4% และสัดส่วน 10-15% ในปี 2564 ส่วนลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็นราว 15% ลูกค้าคอนซูเมอร์ราว 5% และที่เหลือจะเน้นขายเข้าไปในตลาดใหม่ คือลูกค้ากลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่เริ่มมีเข้ามาแล้วจำนวน 1-2 ราย ส่วนอัตรากำไรในแต่ละกลุ่มลูกค้าขึ้นกับความยากง่ายและซับซ้อนของงานผลิตตามคำสั่งของลูกค้า (Made to Order)

อย่างไรก็ดี แนวโน้มของผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบไร้คนขับที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อบริษัทเพราะจะทำให้มีความต้องการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อประกอบรถยนต์ต่อคันเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 5-6% ต่อปีในช่วง 7-8 ปีข้างหน้า ซึ่งขณะนี้เริ่มมีคำสั่งซื้อในลักษณะนี้ทยอยเข้ามาแล้ว

ขณะเดียวกัน ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าบริษัทจะเน้นการลงทุน เพื่ออนาคตในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และฝึกอบรมคนมากขึ้น เพื่อเพิ่มการผลิตสินค้ากลุ่มไฮเทคโนโลยี พร้อมพัฒนาวัตถุดิบใหม่เอง เพื่อใช้ในการผลิตสินค้า เพราะเป็นจุดแข็งสำคัญของบริษัทที่สามารถผลิตวัตถุดิบเองได้สูงถึงประมาณ 80% ของที่ใช้ทั้งหมดและในอนาคตจะผลิตเองทั้ง 100% เป็นปัจจัยหนึ่งช่วยบริหารต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างอัตรากำไรที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ KCE ถือเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย PCB 1 ใน 3 รายของโลกที่สามารถผลิตวัตถุดิบเองได้ แต่เป็นเพียงรายเดียวในประเทศไทย ด้วยขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นจึงเป็นโอกาสที่จะสามารถพัฒนาวัตถุดิบที่ดีขึ้นและมีต้นทุนถูกลง

ส่วนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงแบบธรรมชาติคือ มีรายได้สกุลเงินสหรัฐประมาณ 80% และสกุลยูโร 20% มีต้นทุนรวมเป็นเหรียญสหรัฐราว 50% ส่วนต่างที่เหลือใช้การกู้เงินระยะยาวเป็นเหรียญสหรัฐ เพราะช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้นบริษัทจะมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยนจากหนี้สหรัฐ แต่จะขาดทุนจากฝั่งรายได้

“พิธาน” กล่าวกรณี KCE ได้รับเลือกเข้าคำนวณใน SET50 ว่าน่าจะมาจากหลายๆ ปัจจัย ทั้งพื้นฐานที่ดีขึ้น รวมถึงนักลงทุนมีความสนใจและเชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัท ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมายังเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทให้ข้อมูลไว้กับนักลงทุน

“เราไม่อยากให้ราคาหุ้นขึ้นแบบหวือหวาในปีใดปีหนึ่ง แต่ต้องการให้ค่อยๆ เติบโตขึ้นต่อเนื่องทุกปี ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาราคาขึ้นมาตลอดมาจากกำไรและรายได้ที่เติบโตขึ้นทุกปี”

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025